ในปี 2025 นี้ทางแบรนด์เยรมันอย่าง Audi จะมีการอัพเกรดเจ้าตัว Audi E-tron ทั้งในรุ่นพื้นฐาน รุ่น RS และรุ่น เรือธงอย่าง RS Performance ใหม่อีกด้วย

โดย Audi e-tron ที่จะมาในปี 2025 นี้จะมีจุดเปลี่ยนหลักๆคือ การที่มันมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ 97 kWh ที่เบากว่ากว่าชุดแบตเตอรี่ 84 kWh ของรุ่นปัจจุบันถึง 9 กิโลกรัม และด้วยขนาดความจุที่มากขึ้น ทำให้มันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 609 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ

และด้วยความที่มันได้รับการปรับปรุงเรื่องระบบจัดการความร้อนใหม่แล้วเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน จึงทำให้มันสามารถ รักษาระดับความแรงในการชาร์จไฟระดับ 280 kW ได้นานขึ้น ส่วนความสามารถรองรับกระแสไฟสูงสุด ก็ได้ขยับขึ้นมาเป็น 320 kW จากเดิมที่รับได้แค่ 270 kW ส่งผลให้มันสามารถชาร์จไฟจาก 10%- 80% ได้ใน 18 นาที รวมถึงยังสามารถชาร์จไฟสำหรับการวิ่งเป็นระยะทาง 280 กิโลเมตร ได้ภายในเวลา 10 นาที

และท้ายสุดในเรื่องแบตเตอรี่ ก็คือตัวรถได้รับการอัพเกรดระบบสร้างกระแสไฟกลับขณะเบรกหรือผ่อนคันเร่ง (Regenerative) ที่ถูกเพิ่มขีดความสามารถในการดึงไฟกลับให้สูงขึ้น จาก 290 kW เป็น 400 kW เพื่อความสามารถในการดึงไฟกลับที่เยอะและหนักหน่วงกว่าเดิม

ในเรื่องของระบบขับเคลื่อนในรุ่น S e-tron GT จะมาพร้อมกับมอเตอร์คู่ที่ให้พละกำลังรวมกันที่ 680 แรงม้า PS ซึ่งมากกว่ารุ่น RS e-tron GT ในรุ่นปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน พละกำลังสำหรับ RS e-tron GT 2025 ได้รับการเพิ่มเป็น 857 PS แรงม้าและสุดท้าย RS e-tron GT Performance ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงรุ่นที่กำลังจะมาถึงในปี 2025 ให้พละกำลังรวมมากถึง 925 แรงม้า และทำให้มันกลายเป็นรถยนต์ที่แรงที่สุดเท่าที่ Audi เคยทำมาในทันที

ด้วยพละกำลังที่มากขึ้น จึงทำให้ตัวรถรุ่น S e-tron GT สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 3.4 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่ารุ่น RS e-tron GT ในโฉมก่อนหน้านี้อยู่ 0.1 วินาที และในฝั่งรุ่น RS ตัวใหม่เอง ก็ขยับเวลาในการเรียกอัตราเร่งนี้ลงเหลือ 2.8 วินาที ขณะที่รุ่นท็อปสุด RS e-tron GT Performance ก็จะสามารถเรียกอัตราเร่งดังกล่าวได้ภายในเวลาเพียง 2.5 วินาทีเท่านั้น

ส่วนความเร็วสูงสุดที่ตัวรถสามารถทำได้ หากเป็นรุ่น S e-tron GT จะถูกล็อคตัวเลขเออาไว้ที่ 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่น RS e-tron GT / RS e-tron GT Performance ทั้งสองตัว จะมีการล็อคความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ Audi ยังได้มีการติดตั้งเบรกใหม่ด้วย โดย S e-tron GT จะมาพร้อมกับจานเบรกเหล็กธรรมดาเป็นมาตรฐาน และรุ่น RS จะได้จานเคลือบสารทังสเตนคาร์ไบด์ ที่มีทั้งความแข็ง และทนทาน สึกหรอ ยากเป็นพิเศษ ให้มาเป็นออพชันมาตรฐาน ซึ่งหากยังไม่พอ ทุกรุ่นสามารถเลือกเปลี่ยนไปใช้ดิสเบรคคาร์บอนไฟเบอร์เซรามิก ที่จะทำงานร่วมกับคาลิเปอร์ด้านหน้า 10 สูบ ได้ (แน่นอนว่าเป็นออพชันเสียเงินเพิ่ม)

ระบบช่วงล่างของตัวรถเอง ก็ได้รับการอัพเกรดเช่นกัน โดยคราวนี้ทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมกับระบบช่วงล่างถุงลม แต่ระบบแปรผันค่า หรือ Active Suspension จะยังคงเป็นออพชันเสริม ซึ่งหากลูกค้าติดตั้งเข้าไปแล้ว ทาง Audi ระบุว่ามันจะ “พยายามรักษาระนาบตัวรถให้คงที่ตลอดเวลา ทั้งตอนเบรก, เลี้ยว, และเร่ง” หรือว่าง่ายๆคือ จะทำให้รถแทบไม่เกิดอาการเอี้ยวตัวใดๆทั้งสิ้นในทุกจังหวะการขับขี่ใช้งานตัวรถ

และลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อระบบปรับความสูง กับระบบเลี้ยว 4 ล้อได้อีกเช่นเคย

และแม้ภายนอกตัวรถจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ภายในห้องโดยสารของมัน กลับได้รับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดใหม่ ทั้งเบาะนั่ง, พวงมาลัย และออพชันหลังคากระจก ที่สามารถเปลี่ยนความโปร่งไส เป็นทึบได้ ตามการกดสวิทช์ที่คอนโซลหน้าซึ่งความนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนวัสดุตกแต่งใหม่ ไม่ว่าจะทั้งในส่วนของการใช้ลวดลายไม้ หรือการใช้วัสดุผ้าไมโครไฟเบอร์ Dinamica และระบบปรับไฟฟ้าเบาะนั่ง 18 ตำแหน่ง ก็ยังคงเป็นออพชันเสริมซื้อเพิ่มดังเดิม

ส่วนเรื่องของราคานั้น ราคาในยุโรปสำหรับ S e-tron GT ใหม่ เริ่มต้นที่ 126,000 ยูโร (4.96 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้นเป็น 147,500 ยูโร (5.8 ล้านบาท) สำหรับ RS e-tron GT และสุดท้าย 160,500 ยูโร (6.3 ล้าน) สำหรับ RS e-tron GT Performance

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่