จากความจริงที่ว่าตอนนี้ Polestar ได้มีการประกาศข้อมูลว่า “ประเทศไทย” คือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่พวกเขาจะเข้ามาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีหน้าแน่นอน และหนึ่งในรถที่พวกเขาจะเอาเข้ามาบุกเบิก ก็อาจเป็น 2025 Polestar 2 คันนี้

2025 Polestar 2 มาพร้อมกับการอัพเดทใหม่ในระดับ Facelift จากตัวรถโฉมแรกที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 โดยแม้หน้าตาของมันอาจไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เพราะเปลือกนอกทั้งหมดยังคงเดิม แค่เพิ่มทางเลือกชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบใหม่ กับเฉดสีภายนอกใหม่ ซึ่งยกมาจากพี่ใหญ่ Polestar 4 ก็เท่านั้น

ส่วนภายในห้องโดยสารเอง ก็มีการเพิ่มออพชันระบบทำความร้อน, เบาะหลังทำความร้อน, พวงมาลัยทำความร้อน และหัวฉีดน้ำล้างกระจกแบบทำความร้อนได้ ซึ่งดูแล้วอาจไม่ได้เป็นออพชันที่น่าตื่นเต้นในบ้านเรา แต่มันถือว่าเป็นของที่ควรมีในยุโรป

ขณะที่ตัวเบาะซึ่งมีการเปลี่ยนไปหุ้มหนังแนปป้าสีถ่าน ก็ถูกระบุว่าทำขึ้นจากหนังวัวสก็อตทิชแท้ๆในหมู่บ้าน Bridge of Weir ประเทศสก็อตแลนด์ ซึ่งทาง Polestar ระบุว่าพวกมันล้วนเป็นวัวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีทั้งหมดจนถึงวาระสุดท้าย

จุดเปลี่ยนสำคัญอีกข้อ ก็คือการเปลี่ยนตัวแบตเตอรี่ใหม่ให้กับตัวรถ เริ่มตั้งแต่รุ่น Standard Range – Single Motor ที่จะได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 70 kWh และช่วยเพิ่มระยะทางในการใช้งานต่อชาร์จจาก 546 กิโลเมตร ขึ้นเป็น 554 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

ตามด้วยรุ่น Long Range – Single Motor ก็ระบุว่ามีการขยายขนาดแบตเตอรี่ขึ้นเป็นขนาด 80 kWh ทำให้คราวนี้มันสามารถวิ่งได้ไกลสุด 659 กิโลเมตร/ชาร์จ จากเดิมที่เคยทำได้ 653 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งดูแล้วอาจไม่ได้เพิ่มจากเดิมมากมายเท่าไหร่นักในเชิงตัวเลข แต่เป็นไปได้ว่ามันอาจมาพร้อมความสามารถจัดการพลังงานในตัวเองได้ดีกว่าเดิม และมาพร้อมกับซฟอท์แวร์ใหม่ที่ทำให้แบตเตอรี่หมดช้าลงกว่าเดิมในสภาพการใช้งานจริง

ขณะที่ตัวรถรุ่น Long Range – Dual Motor จะยังคงไม่ได้รับการอัพเกรดขนาดแบตเตอรี่ใดๆและยังคงใช้ขนาด 78 kWh เท่าเดิม

นอกนั้น ในส่วนของตัวเลือกขุมกำลัง ยังคงมีให้ตามเดิม คือ แบ่งเป็น มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ให้กำลังสูงสุด 272 PS กับแรงบิดสูงสุด 490 นิวตันเมตร ในรุ่น Standard Range – Single Motor และขุมกำลังเดียวกันนี้ ก็จะขยับแรงม้าขึ้นเป็น 299 PS ในรุ่น Long Range – Single Motor

ส่วนรุ่น Long Range – Dual Motor ที่ใช้มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็จะมีความสามารถในการเค้นแรงม้าสูงสุดได้ที่ 421 PS และแรงบิดสูงสุด 740 นิวตันเมตร ซึ่งหากยังไม่พอ ลูกค้าก็สามารถซื้อแพ็คอัพเกรดความแรง “Performance Pack” ได้อีกและมันจะช่วยขยับพละกำลังรวมของมอเตอร์ได้มากขึ้นอีก เป็น 476 PS

แต่ทุกรุ่นจะยังคงถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 205 กิโลเมตร/ตามเดิม

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีการเผยตัวเลขออกมา แต่หากอิงตามตัวเลขสำหรับการวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ของตัวรถรุ่นปี 2024 ที่เริ่มต้น 44,950 ปอนด์ หรือราวๆ 2,100,000 บาท – 57,950 ปอนด์ หรือราวๆ 2,706,000 บาท ก็มีความเป็นไปได้ว่าราคาของมันจะยังคงไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากนี้มากมายเท่าไหร่นัก

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่