หลังการเพิ่มเทคโนโลยีระบบขุมกำลังไฮบริดให้กับ Porsche 911 ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่รถซีดานตัวพลิกฟื้นแบรนด์อย่าง Panamera จะได้ปรับมาใช้ขุมกำลังรูปแบบนี้บ้าง แถมนั่นยังทำให้รุ่น Turbo S E-Hybrid ที่พึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ ได้กลายเป็นรถ Panamera ที่แรงที่สุดเท่าที่แบรนด์เคยทำมาอีกด้วย

Porsche Panamera Turbo S E-Hybrid คือรุ่นย่อยใหม่ของ Panamera ที่พึ่งถูกทำเพิ่มขึ้นมา และให้มันกลายเป็นตัวรถรุ่นเรือธงขอองตระกูลในทันทีด้วยขุมกำลังที่แรงที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่ค่ายเคยทำมาในตัวรถรุ่นนี้

โดยขุมกำลังที่ว่า ก็คือขุมกำลังแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 600 PS ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ซึ่งสามารถสร้างแรงม้าได้สูงสุด 190 PS และทั้งหมดก็ทำให้พละกำลังของขุมกำลังชุดนี้มีตัวเลขสุทธิเมื่อทำงานร่วมกันที่ 782 PS ซึ่งถือว่าเยอะกว่าตัวท็อปรุ่นก่อนหน้าอยู่ 82 PS และด้วยแรงบิดสุทธิที่ 999 นิวตันเมตร ก็เท่ากับว่ามันมีแรงบิดเยอะขึ้นกว่าเดิม 130 นิวตันเมตร

เมื่อประกอบกับการปรับปรุงชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ PDK 8 สปีด ใหม่ ทำให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 2.8 วินาที ซึ่งถือว่าไวขึ้นกว่าเดิม 0.2 วินาที กับสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่ามากกว่าเดิมอยู่ 13 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเทียบกับตัวรถโฉมก่อนหน้า

ด้านแบตเตอรี่สำหรับระบบปลั๊กอิน-ไฮบริด ก็มีการขยายขนาดความจุเพิ่มขึ้นเป็น 25.9 kWh ซึ่งทางค่ายบอกว่ามันช่วยเพิ่มทั้ง ประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งการจ่ายไฟ และการชาร์จไฟกลับ รวมถึงเพิ่มระยะทางในการใช้งานในโหมดไฟฟ้าล้วน แต่น่าเสียดายที่ทางค่ายยังไม่ได้ระบุว่าแล้วมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่กันแน่ ?

ส่วนงานออกแบบตัวรถรอบคัน เรียกได้ว่าแทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรุ่น Turbo E-Hybrid แม้แต่ลวดลายล้ออัลลอยด์ 21 นิ้ว ยึดเข้ากับดุมล้อด้วยระบบ Center Lock, ครีบรีดอากาศ, งานตกแต่งภายในห้องโดยสาร เว้นแค่เพียงแบดจ์ตัวอักษรประจำรุ่นที่เพิ่มขึ้นมาบนกันชนท้าย และตามจุดต่างๆภายในห้องโดยสารอีกเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งหากลูกค้ารู้สึกว่าอยากให้มันโดดเด่นมากขึ้น ก็สามารถสั่งซื้ออชุดแต่งคาร์บอนเสริมหล่อ แต่ช่วยเสริมสมรรถนะรถไปด้วยในเวลาเดียวกันเพิ่มได้ ทั้ง ชุดครีบรีดอากาศคาร์บอนรอบคัน, สเกิร์ตข้าง, ดิฟฟิวเซอร์ท้าย ซึ่งแม้มันอาจจะไม่ได้ดูดุดันมากนัก แต่ก็ช่วยเพิ่มแรงกดให้กับรถได้มากถึง 60 กิโลกรัม ที่ความเร็วระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ด้านออพชันอื่นๆที่ติดมากับรถก็มีทั้ง ระบบช่วงล่างไฟฟ้า Porsche Active Ride, ระบบล้อหลังหักเลี้ยวได้, ชุดเบรกคาร์บออนเซรามิค PCCB ซึ่งมีขนาด 440 มิลลิเมตร สำหรับจานเบรกคู่หน้า และ 410 มิลลิเมตร สำหรับจานเบรกคู่หลัง

สำหรับกำหนดการส่งมอบตัวรถทั่วโลก คาดว่าจะทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เป็นต้นไป ส่วนการประกาศราคาสำหรับวางจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่ายังต้องรอกันอีกนิดก็คงได้เห็นตัวเลขกันแล้ว

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่