ในช่วงเดือนที่ผ่านมา คุณจะสังเกตได้ว่า ราคาน้ำมันแพงขึ้นในระดับหนึ่ง ราคาที่พุ่งสูงขึ้นทำให้คนจำนวนมากหาหนทางประหยัดกันเป็นพันวัล เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ และถ้าวันนี้คุณมีแผนจะซื้อรถยนต์ เชื่อหรือไม่ว่า ความประหยัดสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่เราตัดสินใจซื้อรถยนต์กันเลย
1.ซื้อเก๋งไม่ซื้ออเนกประสงค์
ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อย มองหารถยนต์อเนกประสงค์ และอยากได้พวกมันมาครอบครอ รถกลุ่มนี้ดูดี และมีความสามารถมากกว่ารถเก๋ง โดยเฉพาะความกังวลเรื่องน้ำท่วมของคนไทย ทำให้รถยนต์อเนกประสงค์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งที่ความจริง ฝนจกน้ำท่วมไม่ได้เกิดบ่อยนัก ถึงกรุงเทพมหานคร อาจจะได้ชื่อว่า เวนิซตะวันออกก็ตาม
แต่ข้อเท็จจริงคืออเราทุกคนไม่ได้ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่มีครอบครัว หรือเพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัวก็อาจยังไม่จำเป็นอย่างที่บริษัทรถยนต์บอกคุณ คุณเพียงอาจต้องการรถคันใหญ่ขึ้นเท่านั้น และถ้าไปดูให้ดี จะพบว่า ราคาเดียวกับที่คุณซื้อรถยนต์อเนกประสงค์ อาจสามารถเป็นเจ้าของรถเก๋งขนาดใหญ่ได้
ที่สำคัญที่สุดคือรถเก๋งมีอัตราประหยัดน้ำมันดีกว่า เนื่องจากมีความลู่ลมในการออกแบบมากกว่า ในการขับขี่ โดยเฉพาะรถสี่ประตู จะมีความประหยัดมากกว่า
2.เลือกรถเครื่องเบนซิน
ในมุมหนึ่งโลกวันนี้ และภาพของเครื่องยนต์ดีเซล ตั้งแต่อดีตจากรถกระบะก่อนมาสู่รถเก๋ง พวกมันดูจะประหยัดมากกว่า และมีความสามารถในการขับขี่ดีกว่า แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือรถเครื่องดีเซล สามารถใช้น้ำมันได้ประเภทเดียว และคุณไม่สามารถใช้น้ำมันประเภทอื่นๆ ได้ ผิดกับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน
คุณมีชนิดน้ำมัน ทั้ง E20 / E85 ให้เลือกเติมตามกำลังทรัพย์ได้ หรือถ้าคุณอยากประหยัดมากๆ แบบไม่แคร์เรื่องราคาขายต่อ ก็จับมันไปติดแก๊สยังได้ …
3.ซื้อรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่เหมาะกับรูปแบบการเดินทาง
รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อความประหยัด ถ้าคุณกำลังคิดจะเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่ ลองดูว่ามีความจำเป็นขนาดไหนที่คุณต้องซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันที่ใช้อยู่
การเลือกซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ความสามารถกำลังเครื่องยนต์ดีขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยอัตราประหยัดน้ำมันเช่นกัน ทว่าขนาดเครื่องยนต์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กมีความดีความชอบแตกต่างกัน
เครื่องยนต์ขนาดเล็กเหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วไม่สูงนัก เช่นอาจขับขี่ในเมือง เป็นถนนทางแคบจะทำความเร็วสัก 90 ก.ม./ช.ม. ยังยาก
ส่วนเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ที่มีขนาดกระบอกสูบ 2.0 ลิตร ขึ้นไป เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ออกต่างจังหวัด จำเป็นต้องบรรทุกผู้โดยสารจำนวนมาก หรือ บรรทุกน้ำหนักมาก คุณอาจต้องมองเครื่องยนต์ประเภทนี้
ผมเคยทดสอบขับรถยนต์ Subaru XV เปรียบเทียบกับ Nissan X Trail 2.5 ขับนอกเมืองด้วยความเร็ว 100- 120 ก.ม./ช.ม. อัตราประหยัดนอกเมือง Subaru XV ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ขับด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ทำได้เฉลี่ย 6.8 ลิตร /100 ก.ม. (14.7 ก.ม./ลิตร) ส่วน Nissan X Trail 2.5 ได้ 7.3 ลิตร / 100 ก.ม. ( 13.6 ก.ม./ลิตร)
มันต่างเพียง 1.1 ก.ม./ลิตร แต่ความมั่นใจในการขับขี่ดีกว่า ยามคุณเร่งแซง ถามว่ารถยนต์ขนาดเล็กเดินทางไกลได้ไหม คำตอบคือได้ แต่ความสามารถในการแซง หรือ อื่นๆ จะไม่เท่ารถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่
4.ซื้อรถไฮบริด
ถ้าพอมีกำลังซื้อ เราแนะนำซื้อรถยนต์ไฮบริดจะดีกว่า เพราะรถเหล่านี้มีความประหยัดและความสามารถในการขับขี่มากกว่า รถยนต์ทั่วไป ระบบไฮบริดอาศัยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าคู่กับเครื่องยนต์ ในยามขับขี่ความเร็วต่ำมันใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับขี่ ทำให้เครื่องยนต์ไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดเวลา เป็นส่วนหนึ่งของการประหยัดน้ำมัน
แต่รถแบบนี้มันเหมาะกับการใช้งานในเมืองมากกว่าเดินทางไกล เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะมีโอกาสช่วยคุณมากกว่า เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ โดยเฉพาะการจราจรแบบ หยุดนิ่งแล้วออกตัวบ่อยๆ
5.อย่าซื้อรถเผื่ออนาคต
คนจำนวนไม่น้อยชอบซื้อรถเผื่ออนาคต แล้วก่อให้เกิดประเด็นสำคัญคือได้รถที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น และทำให้คุณต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มโดยไม่จำเป็น
จากที่มีโอกาสทดสอบขับรถยนต์ประเภทเดียวกัน ที่มีเครื่องยนต์ต่างกัน พบว่า ทุก 300 ซีซี เครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น จะมีการกินน้ำมันมากขึ้น 2-3 ก.ม./ลิตร (เมื่อเปรียบเทียบกับรถผลิตในปีเดียวกัน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับขี่ในเมือง เครื่องยนตืที่มีขนาดใหญ่กว่าจะกินน้ำมันมากกว่า
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์ Ridebuster.com ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง Facebook
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com