เปิดตัวออกมาอย่างสวยงามในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กับการกลับมาของกระบะสายบึกพร้อมลุย Ford Ranger ใหม่ กระบะที่ในนาทีนี้หลายคนสบตามองอยากจับจองเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะคำถามสำคัญอยู่ที่รุ่นท๊อปออพชั่น ที่มีรุ่นเดิม Wildtrak 4X4 ให้เลือก รวมถึงยังมีรุ่นใหม่พิเศษเอาใจสาวก Raptor ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ต้นปี
การเปิดตัวรุ่นใหม่ในครั้งนี้ลบความน่าสนใจของ Ford Ranger Raptor บางส่วน ด้วยความที่เปิดตัวมาเป็นเครื่องยนต์เดียว การประจำการด้วยดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ประจำการด้วยเกียร์ลูกใหม่ 10 สปีด อาจจะทำให้หลายคนเริ่มลังเลว่าจะเลือกรถรุ่นไหนมาเป็นคู่ใจดี แถมราคาขายต่างกัน 434 ,000 บาท เรายังไม่นับรวมออพชั่นบางอย่างที่ตัดทอนไป และไม่โผล่ให้เห็นในรุ่นแรพเตอร์ เราจึงอยากจะพาเพื่อสำรวจ ความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกันทั้ง 2 รุ่น
Ford Ranger Wildtrak 4X4 คุ้มออพชั่น ราคาเป็นมิตร
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ฟอร์ดเรนเจอร์จัดรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์ทรงพลังมาเป็นท๊อปออพชั่น โดดเด่นด้วยความครบเครื่องน่าใช้งาน พกความปลอดภัยเต็มพิกัดมาตอบโจทย์ลูกค้า
แม้หลายปีที่ผ่านมา ford Ranger wildtrak 4X4 จะมีราคาขายขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อครั้นเติมอุปกรณ์ความปลอดภัยชุดใหญ่ไฟกระพริบเข้ามา ไม่ว่าจะระบบเตือนและป้องกันการชนทางด้านหน้า , ระบบป้องกันการหลุดเลน ตลอดจนระบบช่วยควบคุมการทรงตัว และการทรงตัวของช่วงล่าง รวมถึงอีกหลายรายการทำให้รุ่นใหม่ ขยับราคาจนแตะเลข 7 หลักไปโดยปริยาย
การกลับมารุ่นใหม่ Ford ยังคงวางหมายให้ Wildtrak ตอบโจทย์เต็มออพชั่นน่าใช้งาน หน้าตารถก็จัดการอัพเดท เต็มครบทุกออพชั่นเหมือนเคย เริ่มจากงานออกแบบตัวรถ ภายนอกจัดการเปลี่ยนกระจังหน้าและล้อแม็กใหม่ ขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมยาง 265/60R18 ติดตั้งฝาท้ายแบบ Easy Lift
ส่วนในห้องโดยสารยังเปี่ยมด้วยการออกแบบที่เน้นความสปอร์ต ตบแต่งโทนดำส้ม เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เน้นความสะดวกสบายในการขับขี่เพิ่มมากขึ้นหน้าปัดเรือนไมล์ แสดงผลแบบชุดจอด TFT 4.2 นิ้ว 2 จอ ระบบเครื่องเสียงแบบจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบ Sync 3 งวดนี้สามารถขอความช่วยเหลือได้ เมื่อตรวจพบว่า ถุงลมนิรภัยทำงาน จะต่อสายตรงไปยัง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน และยังมีระบบตัดเสียงรบกวนในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นมาตอบความต้องการของลูกค้า ตลอดจนติดตั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมกุญแจรีโมทมาให้แล้วเรียบร้อย
แต่ที่เด็ดที่สุดดูจะไม่พ้น ระบบช่วยจอด Active Park Assisted ที่ติดตั้งเข้ามาเป็นทีเด็ดประจำรุ่น และฟอร์ด ก็ยังไม่ลืมพวกเรื่องความปลอดภัยที่มาแบบจัดเต็ม ทั้งระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการชนทางด้านหน้า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบเตือนการหลุดเลน และรักษาการขับขี่ในช่องทาง และขาดไม่ได้กับถุงลมนิรภัย 6 ลูกด้วยกัน
ทางด้านเครื่องยนต์จัดหนักมาเต็มด้วย ต้นกำลัง ขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ให้แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์ออโต้ 10 สปีด แทนที่เครื่องยนต์ 5 สูบ 3.2 ลิตร เดิม
ในแง่สมรรถนะในการลุย ก็เหมือนๆ เดิม ด้วยโหมดการขับขี่ 3 โหมดสำคัญ คือ 2H , 4 H และ 4L มาพร้อมระบบ Rear Locking Differential เพื่อการลุยมากขึ้น มีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน ,ระบบช่วยควบคุมการลงทางลาดชัน ส่วนระบบช่วงล่างยังคงเป็น ระบบปีกนกอิสระสองชั้นพร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังเป็นแบบแหนบซ้อนเหมือนกระบะปกติ
ราคาขาย 1,265,000 บาท
Ford Ranger Raptor มีดีเลยราคาแพง
มาดูทางด้าน Ford Ranger Raptor กันบ้าง หลายคนอาจจะบ่นอุบราคาแพง แต่อยากบอกว่าให้ดูของที่ให้ อาจจะมีคิดตัดสินใจ โดยเฉพาะใครที่กะว่าจะซื้อ Ranger ไปแต่งคิดหลายตลบอาจจบที่ Raptor
ก่อนอื่นเลย Ford Ranger Raptor แตกต่างด้วยการพัฒนาจาก Ford Performance โดยตรง ผู้อยู่เบื้องหลังผลงาน Ford ซิ่งชั้นนำทั้งหลาย จนสามารถพูดได้เลยว่ามันเหมือนคุณซื้อรถจากช๊อปซิ่งของฟอร์ด อะไรประมาณนั้น
ความตั้งใจในการทำ Ford Ranger Raptor ออกมาขาย ทำให้มันกลายเป็นรถที่แทบจะพูดได้เต็มปากว่า คนละคัน Ford Ranger Raptor เปลี่ยนตัวตนตั้งแต่โครงสร้างแชสซี โดยเฉพาะ จุดที่จำเป็นจ้องรับแรงจากระบบช่วงล่างใช้เหล็กที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น แชสซีผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ เหล็กที่ประกบจนเป็นโครงสร้างเฟรมหลักถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
การออกแบบตัวรถเน้นความดุดัน ใหญ่ และน่าเกรงขามด้วยการยืดล้ออกไปด้านละ 75 ม.ม. จากรุ่นปกติ และยังเพิ่มระยะต่ำสุดจากพื้นถึงท้องรถอีก 65 มม. ตลอดจนยังปรับเปลี่ยนงานออกแบบด้วยกระจังหน้ามาพร้อมสไตล์ดูดันพร้อมกระจังขนาดใหญ่สักคำว่า Ford เอาไว้หราให้เห็นกันไปเลย ช่วงแก้มหน้าที่มีการยืดออกมานั้น ใช้วัสดุพิเศษ ที่เรียกว่า Sheet Molding Compound (SMC) สร้างโป่งขึ้นมาใหม่ เจาะช่องระบายอากาศ ลดอากาศหมุนวนในซุ้มล้อ รวมถึงกระบะท้ายที่มีความกว้างขึ้นจากรุ่นปกติ
ติดตั้งมาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้วลายพิเศษ จัดมาให้กับยางสายลุย BF Goodrich All – terrain 285/70/R17 และยังติดตั้งชุดหูลากที่ต่อมาจากแชสซีเสร็จสรรพ อีกด้วย
ด้านสมรรถนะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลัง 213 แรงม้า ทำแรงบิด 500 นิวตันเมตร ติดตั้งพร้อมระบบเกียร์ 10 สปีด ดูก็เหมือนใน Wild Trak
หากเมื่อกล่าวถึงการลุย รถรุ่นนี้กับมีทีเด็ดเหนือชั้น ด้วยระบบ Terrain Management System มากถึง 4 โหมด เปลี่ยนไปตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ โหมดหิน, โหมดหญ้า กรวดหิน และหิมะ , โหมดโคลน/ทราย และ โหมดบาฮา สำหรับใช้ขับลุยด้วยความเร็ว
นอกจากนี้ระบบช่วงล่างของ Ford Ranger Raptor ยังติดตั้งชุดช่วงล่างพิเศษจาก Fox Racing ที่มีระบบ Internal By Pass Valve สามารถตอบสนองการใช้งาน ตามสภาพถนนที่ต่างออกไปได้ถึง 9 ระดับ ตลอดจนช่วงล่างด้านหลังยังปรับปรุงเปลี่ยนเป็น Watt link ไม่ใช่แบบกระบะที่ใช้แหนบแผ่นซ้อน ส่วนด้านหน้าอัพเกรดชุดปีกนกอลูมิเนียมแบบหล่อขึ้นรูป และยังมีแผ่นเหล็กบังกันกระแทกจากการขับสุดโหด
เรื่องการเบรกก็สั่งหยุดมั่นใจ ด้วยระบบเบรกด้านหน้า 2 พอท พร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ 332 มม. และด้านหลังใช้ดิสก์เบรกที่มาพร้อมจานเบรกขนาด 332 มม. เช่นกัน
ด้านในห้องโดยสารออกแบบแตกต่างไม่เหมือน Ford Ranger รุ่นอื่น ด้วยงานออกแบบสไตล์สปอร์ต ปักคำว่า Raptor หุ้มด้วยวัสดุหนังกลับคุณภาพสูง Alcantara เพิ่มความกระชับยามขับขี่มากขึ้น พวงมาลัยแบบมีขีดกลาง ช่วยตอบโจทย์ในการบังคับเลี้ยว รวมถึงติดตั้งชุด Paddle Shift มาให้ ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ตอบการใช้งานปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ทันใจ
รวมถึงในแง่ความสบายติดตั้งชุดเบาะไฟฟ้าฝั่งคนนั่ง สามารถปรับได้ 6 ทิศทาง เครื่องเสียงเหมือนกับรุ่น wildtrak ด้วยระบบ Sync 3 พร้อมทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาพร้อมระบบแนที่นำทาง และลำโพงในห้องโดยสาร 6 จุด
ราคาขาย 1,699,000 บาท
สรุป รุ่นไหนน่าใช้ … จะเลือกอะไรดี
และแล้วก็มาถึงคำถามสำคัญว่า ระหวาง Wildtrak ตัวท๊อปขับเคลื่อนสี่ล้อ กับ Raptor เลือกคันไหนคุ้มค่ากว่ากัน โดยเฉพาะเมื่อดูราคาที่ต่างกัน 434,000 บาท ก็ทำเอาหลายคนคิดไม่ตกว่าควรจะเลือกอะไร
ในมุมเรื่องฟังชั่นการใช้งานที่ครบครัน เราต้องยอมรับว่า Ford Ranger Wildtrak 4X4 มีมาให้อย่างครบครันสนองครบทุกด้านตามความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะแง่มุมทางด้านความปลอดภัย ด้วยระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ , ระบบช่วยให้ขับขี่ในเลน ,ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันได้ เป็นสิ่งที่คุณจะไม่สามารถหาได้จากรถกระบะทั่วๆไป และใน Raptor เองก็ไม่ได้ใส่ฟังก์ชั่นเหล่านี้เข้ามา
ตลอดจนการติดตั้งระบบทันสมัยเพิ่มความสะดวกสบาย อาทิ ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ หรือ Active Park Assited ลูกเล่นใหม่ในกระบะท๊อปออพชั่น ยังเรียกเสียงเกรียวกราวได้ไม่น้อย
แถมการติดตั้งเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ Ford Ranger Raptor ขุมพลัง 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ให้กำลัง 213 แรงม้า ทำแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์ 10 สปีด ยังฟังแล้วน่าสนใจ หากอย่างเดียวที่ WildTrak จะมีไม่เท่าแรพเตอร์อาจดูเหมือนเป็นช่วงล่าง ที่ยังเป็นกระบะธรรมดาๆ อยู่เหมือนเดิม
ทางด้าน Ford Ranger Raptor เองมาพร้อมการตอบโจทย์ด้วยความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่หลายคนอาจจะรู้สึกเลือกไม่ถูก แต่ด้วยการพัฒนาจาก Ford Performance จึงเปรียบได้ว่ารถรุ่นนี้เหมือนเพชรยอดมงกุฏของกระบะค่ายวงรีสีน้ำเงิน ในวันนี้ และต่อไปในวันหน้า
แน่นอนแม้ว่าจะใช้ Ford Ranger เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างมาก โดยเฉพาะสมรรถนะของตัวรถที่มีความคมเข้มมากกว่าหล่อมากกว่า ดูดุดันกว่า ด้วยโป่งล้อขนาดใหญ่กว่า ความกว้างตัวรถเพิ่มจากรุ่นปกติมากพอจะสังเกตุด้วยตาเปล่าได้ ตลอดจนใบหน้าถอดรูปเงาะมาจากพี่ชายชัดเจนมากๆ แถมมีการใช้วัสดุพิเศษอีกหลายรายการที่ทำให้แรพเตอร์เป็นแรพเตอร์
หากสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือว่าเจ้า Ford Ranger Raptor มีการพัฒนาเชิงโครงสร้างเข้ามาด้วยหลายจุดเช่นกัน ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว มันเป็นรถที่สามารถสนองตอบเรื่องการขับขี่ด้วยความเร็วตัวจริง ในทุกสภาวะการขับขี่ทั้งบนถนนหรือทางลุย การติดตั้งโช๊คอัพใหม่ จาก Foxracing อาจเป็นสิ่งที่ทางฟอร์ด ยกมาพูดเป็นสิ่งสำคัญ
ทว่าการเปลี่ยนชุดปีกนกเป็นอลูมิเนียมฟอร์จขึ้นรูปทางด้านหน้า การติดตั้งระบบช่วงล่างหลังแบบ วัตต์ลิงค์ และ เบรกด้านหน้าแบบ 2 พอท พร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ 332 มม. กลับไม่ค่อยถูกนำมาพูดถึงมากนัก เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้หลักการทำงานควบคุมกันคนละแบบ
ทั้งหมดถ้ามานับของที่เพิ่มขึ้นมาหลากหลายในรถ และความเท่ห์แตกต่างไม่เหมือนใคร แลกกับเงิน 4 แสนบาท โดยที่คุณไม่ต้องไปแต่งหล่ออะไรเพิ่มเติม ในมุมมองผู้เขียนถือว่าคุ้มค่าแล้วกับราคาค่าตัวที่เพิ่มขึ้น แม้บางคนจะบอกว่า ไปทำเองถูกว่านี้ หากบางรายการก็ไม่มีทางที่คุณจะให้ช่างบ้านเราทำได้ อาทิการพัฒนาแชสซีโครงสร้าง ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ การพัฒนาจุดยึดต่างๆ ,การแปลงระบบช่วงล่างจากแหนบมาเป็นวัตต์ลิงค์ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุพิเศษในการสร้างทำโป่งล้อ
ส่วนพวกรายการของแต่งอื่นๆ นั้น สามารถทำได้จริง แต่คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือว่า จะทำได้ดีแค่ไหน ออกมาแล้วจะเพอร์เฟคแค่ไหน ชื่อเสียงของ Ford Performance ในมุมสมรรถนะได้รับการชื่นชมอย่างมากในการทำรถออกมาได้ลงตัว พวกเขาคงทุ่มสุดใจเพื่อเรียกคนเข้าสุ่บ้านสมรรถนะของฟอร์ดหลังนี้
ตารางเปรียบเทียบออพชั่น
Ford Ranger Wildtrak 4X4 | Ford Ranger Raptor | |
ระบบเครื่องยนต์ | 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ให้แรงบิด 500 นิวตันเมตร | 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ให้แรงบิด 500 นิวตันเมตร |
ระบบเกียร์ | อัตโนมัติ 10 สปีด | อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบ Paddle shift |
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ | แบบ ปกติ 3 ตำแหน่ง (2H,4H,4L) | ระบบ Terrain Management System พร้อมโหมดการขับขี่ตามสภาพถนนจริง 6 โหมด |
ระบบกันสะเทือนด้านหน้า | ปีกนกอิสระ 2 ชั้น พร้อมคอยย์สปริง | ปีกนกอิสระ 2 ชั้น พร้อมคอยย์สปริง ปรับแต่งด้วยปีกนกอลูมิเนียมขึ้นรูป |
ระบบกันสะเทือนด้านหลัง | แหนบหลายแผ่นซ้อน | ระบบคอยย์สปริง และระบบวัตต์ลิงค์ |
การตบแต่งภายใน | WildTrak ดำ-ส้ม | สีดำ พร้อมการออกแบบพิเศษ ภายในหุ่มด้วยหนัง Alcantara |
เบาะนั่งปรับไฟฟ้า | ด้านคนขับ 8 ทิศทาง | ด้านคนขับ 8 ทิศทาง ด้านคนนั่ง 6 ทิศทาง |
ล้อและยาง | ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60/R18 | ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 285/70/R17 |
แพ็คเกจระบบความปลอดภัยและช่วยในการขับขี่ | มี -ระบบช่วยรักษาเลน และเตือนหลุดเลน-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมแปรผันระยะห่างระหว่างการขับจี่-ระบบเตือนการชนทางด้านหน้า-ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ฯลฯ |
ไม่มี |
ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ | มี | ไม่มี |
การปรับแต่งระบบกันสะเทือนจาก Fox Racing | ไม่มี | มี พร้อมระบบ internal By Pass Valve 9 ระดับ |
การพัฒนาความแข็งแรงของแชสซีเพื่อความแข็งแรงเป็นพิเศษ | ไม่มี | มี |
ดิสก์เบรก 4 ล้อ | ไม่ใช่ | ใช่ (เบรกหน้า 2 พอทพร้อมจานเบรก 332 มม.) |
ตัวถังขยายกว้างพิเศษ พร้อมคิ้วล้อ | ไม่ใช่ | ใช่ |
ถ้าถามผมว่า รถทั้งสองต่างกันอย่างไร ผมสรุปสั้นๆ เลยว่า
Ford Ranger Wildtrak 4X4 เป็นรถที่เน้นในเรื่องการขับขี่ปลอดภัย พร้อมสมรรถนะที่ดีในการลุยในระดับคนปกติทั่วไปใช้ รวมถึงยังอำนวยการขับขี่ด้วยความสะดวกสบาย
กลับกัน Ford Ranger Raptor เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเปี่ยมล้นดวยสมรรถนะในการขับขี่จริงๆ จนเชื่อว่าคุณไม่มีทางใช้มันหมดแน่นอน แม้ว่าจะยังไม่ได้ลองขับ หากด้วยของที่ให้ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า จะเป็นรถที่ชายชาตรีจะชอบหลงรักมัน
ดังนั้น ถ้าคุณจะซื้อรถทั้ง 2 คันนี้ สมควรจะตัดสินใจให้ดีว่าคุณต้องการสิ่งใด จากรถที่คุณขับขี่มากกว่า เพราะต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่