ในช่วงชีวิตนี้ เราจะซื้อรถยนต์สักกี่คัน .. .ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า เราสมควรจะมีรถยนต์หลายคันในบ้านไปเพื่ออะไร เมื่อเวลาผ่านไปจึงได้เรียนรู้ว่ารถยนต์แค่ละคันมีคุณลักษณะในการใช้งานที่ต่างกัน และถ้าคุณจะลุยแบบถึงใจไปในที่ซึ่งหลายคนไม่มีโอกาสจะเดินทางถึง นาทีนี้ เชื่อว่า Ford Ranger Raptor กลายมาเป็นรถขวัญใจชนชั้นกลางที่มองหารถคันใหม่ฉีกหนีตัวออกจากสภาพสังคมอันวุ่นวาย
ตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือน กุมภาพันธ์ปีนี้ พร้อมเคาะราคาขายในงาน Motor Show 2018 , Ford Ranger Raptor กลายเป็นรถที่สร้างความสนใจให้กับคนจำนวนไม่น้อย ที่มองหารถคันต่อไป ไม่ว่าจะทั้งซื้อเพิ่ม หรือเปลี่ยนคันใหม่ ยิ่งใครที่มองกระบะอยู่แล้ว ก็ต้องมามองเจ้ากระบะค่ายวงรีสีน้ำเงินคันนี้ ด้วยดีกรีครบเครื่องไม่ต้องแต่งเติมอะไรเลย
แนวความคิด Ford Ranger Raptor มีกระแสข่าวลือออกมา เมื่อช่วง Ford ปรับโฉม Ford Ranger ครั้งแรก เมื่อทางแบรนด์จากอเมริกา เห็นว่าลูกค้าตัวเองเป็นคนอย่างไร ผู้ใช้ฟอร์ด เรนเจอร์ ส่วนใหญ่ชื่นชอบการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ชอบเดินทางในวันว่าง และ พร้อมจะจ่ายเพื่อให้ได้บุคลิกที่บอกความเป็นตัวของตัวเอง
ในเวลานั้น ผมเชื่อว่า Ford คงมองว่า เมื่อ Ford F-150 สามารถมีรุ่น Raptor ได้ ทำไมจะทำลงมาขายในตลาดกลุ่มกระบะเรนเจอร์ไม่ได้ แถมกำลังซื้อรถยนต์กลุ่มนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้าพี่ใหญ่ และคนในแถวเอเซียที่ซื้อรถรุ่นนี้ส่วนใหญ่ก็มีกำลังซื้อในระดับหนึ่งเหมือนกัน ข่าวคราว Raptor จึงมาๆ หายๆ ตามสูตร ปิดข้อมูลไว้บ้าง
จนกระทั่งในที่สุด Ford ตัดสินใจส่งวีดีโอ Teaser รถรุ่นนี้ออกมา ยืนยันว่า Ford Ranger Raptor เป็นเรื่องจริง และพวกเขาพร้อมจะเปิดตัวทั่วโลก แถมไทยยังเป็นที่แรกในโลก ที่รถรุ่นนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกจากอานิสงค์ ยอดขาย Ford Ranger สูงสุดในโลก
นึกย้อนไปวันเปิดตัว ตอนเห็นฟอร์ดเอาโครงสร้างแชสซี มาตั้ง พร้อมของแต่งต่างๆที่รังสรรค์มาอย่างพิถีพิถัน ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันคือกระบะที่จะพลิกชะตาของฟอร์ด แม้นอาจจะไม่ได้ด้วยยอดขาย แต่ด้วยการเข้าถึงจิตใจลูกค้าที่ชื่นชอบตัวตนของแบรนด์นี่แหละที่ทำให้แตกต่าง
ความจริงแล้ว นี่น่าจะเป็นครั้งที่ 3-4 ที่ผมเห็นเจ้า Ford Ranger Raptor ตัวเป็นๆ ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก มาจนมอเตอร์โชว์ หรือไปพานพบโดยบัญเอิญในการออกบูธของตัวแทนจำหน่ายในห้างแถวบ้าน จนกระทั่งครั้งนี้เราจะได้ลองขับกันจริงจัง
ย้อนไปก่อนหน้านี้สักเดือนเศษๆ ฟอร์ด พาสื่อมวลชนไทยชุดหนึ่ง เดินทางไปยังประเทศออสเตรเลียเพื่อทดสอบรถรุ่นนี้ ผมแอบถามด้วยความอยากรู้ กับสื่อบางคนที่สนิทว่าเป็นอย่างไร ผมได้รับคำตอบและคำชมมากมาย จนเริ่มรู้สึกว่าอยากสัมผัสด้วยตัวเอง
วันนี้มาถึงจนได้ ผมเจอหน้ากับ Ford Ranger Raptor อีกครั้ง มองหน้าตามันก็บอกได้ถึงความโหดในตัวรถ ตั้งแต่กระจังหน้าขนาดใหญ่ สักตรา Ford ไว้ตัวเบ้งๆ ให้คนได้รู้เลยว่านี่รถฟอร์ด ชิ้นส่วนกระจังหน้าเป็นสีดำด้านล้วน รับเข้ากับโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ใหม่ และยังตอบโจทย์ด้วยชุดกันชนหน้าใหม่ ตบแต่งด้วยสีดำพบกับสีเทาด้านๆ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง แถมมีแผ่นรองกันกระแทกหนา 2.3 มม. ชุดล้อถูกเปลี่ยนใหม่ หันมาใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง BF Goodrich All Terrain KO2 ขนาด 285/70/R17 หรือยาง 33 นิ้ว พร้อมสรรพเรื่องลุย ส่วนด้านท้ายเพิ่มลายสติกเกอร์เข้ามา
หลายคนที่เห็นรถกระบะแรพเตอร์แล้ว คงพอจะมองออกว่า มันไม่ใช่การเอาเรนเจอร์ธรรมดาๆ มาใส่เครื่องทรงให้มันดุลุยเท่านั้น เหมือนที่หลายบริษัททำกันมาตลอดหลายปี ด้วยขนาดตัวรถใหญ่กว่ามากมาย เริ่มจาก การปรับระยะห่างระหว่างล้อซ้าย-ขวา เพิ่มขึ้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพิ่มขึ้นอีก 150 มม.เป็น 1,710 มม. ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถยกสูงขึ้นอีก 53 มม. หรือ เทียบเท่าระยะยก 2 นิ้ว มีความสูงจากใต้พื้นถึงท้องรถ รวม 283 มม.
ในส่วนของตัวรถมีความยาวเพิ่มขึ้น 36 มม. (ความยาวตลอดคัน 5,396 มม.) กว้างเพิ่มขึ้น 168 มม. (ความกว้างรวม 2,028 มม. ไม่รวมกระจกมองข้าง)และสูงขึ้น 58 มม. ( 1,873 มม.) ฐานล้อเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงเท่าเดิมในเจ้ากระบพันธุ์โหดคันนี้ ด้วยระยะ 3,220 มม. แต่น่าแปลกที่ทาง ฟอร์ด ประกาศรับรองระดับการลุยน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 850 มม. จาก 800 มม. ในรุ่นปกติ
การเพิ่มกุญแจ Keyless เข้ามาในเรนเจอร์ทุกรุ่น ส่งอานิสงค์ถึงแรพเตอร์ด้วยเช่นกัน เพียงพก จับประตู ก็ปลดล็อคเข้าห้องโดยสารได้ง่ายดาย ไม่เสียเวลา
ภายในห้องโดยสาร ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็น “เรนเจอร์” เหมือนกับรุ่นธรรมดา แต่ภายในกลับต่างกันแทบจะเรียกว่าโดยสิ้นเชิง Ford Ranger Raptor เน้นการให้รายละเอียดความสปอร์ตมากกว่ารุ่น Wild Trak
เริ่มจากชุดเบาะนั่งคู่หน้า เปลี่ยนเป็นการสไตล์สปอร์ตแนวบัคเกทซีท โอบกระชับสรีระคนขับและคนนั่งไม่ให้แกว่งไกวในยามเข้าโค้ง ด้านคนขับให้ชุดเบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ฝั่งคนข้างตามใจปรับมือด้วยตัวเอง ด้านหลังชุดไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทั้งหมดหุ้มด้วยชุดหนัง alcantara เดินด้านสีฟ้า ให้ความรู้สึกสัมผัสสปอร์ต และดูดยึดกับเสื้อผ้าที่เราใส่เวลานั่งลงไปบนเบาะ
ตรงหน้าคนขับพวงมาลัยสามารถปรับสูงต่ำได้ แต่ไม่สามารถปรับยืดเข้าออกได้ แถมเรือนไมล์ที่เราเห็นว่าเป็นดิจิตอลจอข้างในรุ่นธรรมดา ในแรพเตอร์เปลี่ยนใหม่เป็นเข็มเรือนไมล์แบบปกติ มีชุดแสดงข้อมูลตรงกลาง บอกข้อมูลการขับขี่ และใช้สำหรับปรับโหมด หลังพวงมาลัยให้ระบบ Paddle Shift ทำมาจากแมกนีเซียมติดตัวมาด้วย ถ้าไม่กดด้วยพลังช้างสาร ไม่น่าจะมีทางหัก ส่วนตัวพวงมาลัยเองออกแบบมาดูสปอร์ตเฉพาะรุ่น มีคำว่า “Raptor” และขีดตรงกลางสีแดงบอกทิศทางที่คุณหมุนพวงมาลัย ให้ปุ่มควบคุมทางฝั่งขวา และ ทางซ้ายใช้ในการจัดการปรับโหมดการขับขี่ต่างๆ
ตรงกลางคอนโซลหน้าติดตั้งระบบเครื่องสียงและเชื่อมต่อ Sync 3 รองรับภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว ถัดลงมาเป็นระบบปรับอากาศแอร์ออโต้แยกอสิระซ้าย-ขวา รายละเอียดช่วงคันเกียร์เหมือน Ford Ranger ปกติ มีโหมดระบบขับเคลื่อนให้ใช้ ได้แก่ 2H,4H และ 4L ส่วนตัวคันเกียร์ก็ถอดปุ่มบวก-ลบ ที่หัวเกียร์ออกไป
ด้านที่นั่งตอนหลังยังนั่งสบายเหมือนเดิม น่าเสียดายแม้จะเป็น Raptor ก็ยังขาดช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ลดความสบายในการโดยสารลงไป แต่เรื่องความอรรถประโยชน์มีมาให้จัดเต็ม ทั้งช่องชาร์จปลั้กไฟ 230 โวล์ต และ ช่องเสียบแบบ 12 โวล์ต
เป็นอย่างไร แรพเตอร์ … เมื่อขับในเมือง
ผมเชื่อว่า หลายคนน่าจะได้อ่านรีวิวของพี่ๆ สื่อ่ หลายคนที่ถูกเชิญไปยังเมืองดาร์วิน,ประเทศ ออสเตรเลีย เพื่อขับแรพเตอร์รอบปฐมทัศน์นักข่าวในระดับภูมิภาค แต่คำถามที่ผมได้รับมาจากคนที่สนใจ และยังไม่ได้จอง แต่มีแนวโน้มจะซื้อ ส่วนใหญ่กลับมีความกังวลการใช้งานในเมืองค่อนข้างมาก ก็ไม่น่าแปลกใจนักับขนาดรถที่ค่อนข้างใหญ่โตมโหราฬ จนแม้แต่รถรุ่นธรรมดายังดูเล็กไปเลย
งานนี้ผมไม่พลาดที่จะขอลองขับในเมืองก่อน ด้วยส่วนตัวก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง
คว้ากุญแจกดปุ่มสตาร์ท ร่างกำยำ Ford Ranger Raptor ต้อนรับด้วยขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 213 แรงม้า ทำแรงบิด 500 นิวตันเมตร ส่งเสียงครางพร้อมเดินทาง สับเกียร์ไปยัง D ออกตัว จากจุดสตาร์ทย่านสาทร
สัมผัสแรกผมผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเครื่องยนต์ให้กำลังขนาด 213 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะได้ความรู้สึกหลังติดเบาะสักหน่อย หากเจ้าแรพเตอร์กลับออกตัวแบบผู้ดีไปมาสุภาพ เป็นรถ 213 แรงม้า ที่ผู้ใหญ่นั่งแล้วจะรู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวเลย ส่วนหนึ่งมาจากยางของรถที่มีหน้ากว้างถึง 285 หรือสายออฟโรด อาจจะเรียกว่ายาง 33 นิ้ว
อีกประการเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกนี้เป็นเทอร์โบคู่ เรื่องความดิบกระโชกโฮกฮากจึงน้อยลงไป การเซทอัพเทอร์โบคู่ส่วนใหญ่จะมาพร้อมความนิ่มนวลในการขับขี่มากกว่าเทอร์โบเดี่ยวอยู่แล้ว
แถมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 เทอร์โบคู่ใหม่นี้ ใช้การเซทอัพเทอร์โบแบบ ซีเควนเทียล หรือทำงานต่อเนื่องแถมเทอร์โบลูกหนึ่งยังเป็นเทอร์โบแปรผันอีกลูกเป็นเทอร์โบปกติทั่วไปที่มีขนาดใหญ่กว่าทำให้การตอบสนองของชุดเทอร์โบต่อการขับขี่ไม่มีการรอรอบ เราจึงรู้สึกว่าเครื่องยนต์ทำงานค่อนข้างราบลื่นแต่เปี่ยมด้วยความทรงพลังกดเป็นมา เพียงแค่ไม่กระชากให้รู้สึกหวือหวาเท่านั้นเอง
แม้ว่าจะผิดหวังกับการออกตัวอยู่บ้างจากที่คิดว่า น่าจะกระชากกระโชกโฮกฮากสักหน่อย เป็น “แรพเตอร์” มันต้องดุดัน ยิ่งเป็นรถที่มาในตระกูล Ford Performance แต่ที่ต้องออกปากชมว่าทำได้ดีกว่าที่คาด หนีไม่พ้นระบบช่วงล่างที่เซทมาได้อย่างลงตัว
อย่างที่หลายคนทราบ Ford Ranger Raptor มาพร้อมช่วงล่างทางด้านหน้าแบบปีกนกอิสระ 2 ชั้น พร้อมชุดปีกนกอลูมิเนียม ทางด้านหลังถอดชุดแหนบที่คุ้นเคยในกระบะทิ้งไปแล้วติดตั้งเป็นช่วงล่างแบบคอยย์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์ แถมยังใช้ชุดโช๊คอัพแตกต่างจากเพื่อนพ้องด้วยการหยิบเอาช่วงล่างจาก Fox Racing 2.5 มาติดตั้ง
โช๊คชุดนี้สามารถปรับการทำงานของตัวเองภายในโช๊ค (Internal By Pass) ตามช่วงเวลาที่คุณขับขี่ได้ 9 ระดับ รวมถึงเมื่อเทียบกับ Ford Ranger ยังให้ระยะยืดในการซับแรงกระแทกมากกว่าถึงร้อยละ 30
ความไม่ธรรมดาของช่วงล่างในแรพเตอร์ยังอาจไม่ทำให้เราเห็นความวิเศษของมันในเวลานี้ หากสัมผัสแรกเราเวลาขับในเมือง มันเป็นช่วงล่างที่เปี่ยมด้วยความนิ่มนวลสบายในการขับขี่ แถม ด้วยยางขนาดใหญ่แก้มสูงทำให้มันนิ่มนวลในการเดินทาง
ความสูงใหญ่ทำให้เราเห็นทัศนวิสัยในการขับขี่แรพเตอร์ดีขึ้น เช่นเดียวกับตอนขับในเมืองเราก็ต้องระแวดระวังเพื่อนร่วมทางมากขึ้น ยิ่งถนนช่วงไหนที่ชอบตีเส้นความกว้างประมาณ 2 เมตร พอดีคันเช่นต่างระดับคลองเตย คุณต้องมองโดยรอบให้ดีไม่งั้นอาจมีไปเกี่ยวกระจกมองข้างได้บ้าง
ส่วนใครที่ชอบเป็นจอมมุดแห่งท้องถนนด้วยขนาดของแรพเตอร์ก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ด้วยความใหญ่และกำลังเครื่องที่เหนือกว่า แถมพวงมาลัยกระบะโย่งคันนี้เรียกว่า คมกริปบิดนิดเดียวเลี้ยวให้แล้ว มันจึงสามารถมุดได้แน่ แต่เราไม่ขอแนะนำให้ทำ เพราะเพื่อนร่วมทางอาจรู้สึกว่าน่ากลัว
…… คลานในเมืองมาสักพักใหญ่ในที่สุดก็หลีกหนีความวุ่นวายแล้วผ่านเข้าสู่ช่วงทางหลวงนอกเมือง เมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 100 ก.ม./ช.ม. ผมรู้สึกได้ถึงช่วงล่างที่แข็งขึ้นเล็กน้อยตอบสนองดีขึ้น หากยังคงนั่งสบายเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
น่าแปลกเมื่อใช้ความเร็วสูงในช่วง 120-130 ก.ม. ผมกลับพบว่ารถมีอาการแปลกๆ มันมีการโยนตัวกระพือจากหน้าไปหลัง คล้ายกับช่วงล่างนิ่มไป ผมแอบไปถามน้าจ๊อก หนึ่งในสื่อ ผู้คร่ำวอดในวงการออฟโรดล้อโต ว่าอาการนี้เป็นปกติของรถสูงที่มาพร้อมล้อขนาดใหญ่หรือไม่
ได้รับคำตอบว่า เป็นปกติที่จะต้องมีอาการยวบยาบคล้ายนั่งบนช้าง เมื่อใช้ความเร็วประมาณนี้ แต่น่าแปลกใจเพราะในระหว่างทางเมื่อลองเพิ่มความเร็วดันตั้งแต่ 130+ ขึ้นไป อาการนี้กลับหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วเมื่อลดความเร็วลงมาที่ความเร็วเดียวกันกลับไม่เป็นอีก จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของการปรับตัวของชุดโช๊คก็เป็นไปได้ ….
ได้เวลาลุยโหด … จะเป็นอย่างไร
ไม่นานถึงเวลาที่ผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นคนนั่งบ้าง หลังจากขึ้นประทับในตำแหน่งคนนั่งก็รู้สึกว่ารถคันนี้นั่งสบายในระดับที่น่าพอใจมากกว่าที่คิด มันเป็นรถที่นั่งสบายแม้ในยามใช้ความเร็ว แต่ด้วยความเป็นคนตัวใหญ่ จึงรู้สึกว่าเบาะนั่งตอนหลังน่าจะทำให้นั่งสบายได้มากกว่านี้ รวมถึงการไม่มีช่องแอร์ตอนหลัง ทำให้เรารู้สึกไม่สบายเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับกระบะกลุ่มเดียวกันที่มีมาให้เป่าลมเย็นแล้วเข้าสู่โหมดเฝ้าพระอินทร์ในที่สุด
ด้วยการเดินทางอีกกว่าชั่วโมงเศษๆ เราก็มาถึงสนามจำลองออฟโรดของฟอร์ดในย่านเขาใหญ่ ทางทีมงานฟอร์ดเนรมิตให้ที่นี่ทดสอบการขับขี่สุดโหดเต็มทุกรูปแบบที่เราจะนึกออกไม่ว่าจะขับบนหญ้า , ปีนป่าย , กระโดดเนิน หรือ จะกระโจนลงน้ำ ราวกับจะพาเราฝึกหน่วยนาวีซีลกับแรพเตอร์ ทุ่มทุนขนาดนี้ก็เพื่อให้เราพิสูจน์สมรรถนะ Ford Ranger Raptor กันเท่าที่พอใจ
การขับขี่นั่งเพียง 2 คนเท่านั้น โดยมีผมกับครูฝึก ซึ่งเป็นนักขับแข่งครอสคันทรี่ที่มีประสบการณ์ มาให้คำแนะนำในการทดสอบในสนาม ก่อนถึงคิวทดสอบปรากฏว่าฝนตกลงมาชุดใหญ่ ทำให้เรามีโอกาสลองของในสภาพเละจริงจัง
ผมออกตัวกับ Ford Ranger Raptor อีกครั้ง เริ่มต้นด้วยการฝ่าด่านทางโค้ง ให้ดูการทรงตัวของรถ สำหรับผมจากที่ขับตลอดจนนั่งผมยอมรับว่าทำได้ดีเซทช่วงล่างมาจบแล้ว แต่มันคงไม่ดีนักถ้าคุณจะเอารถขับทางโค้งด้วยความเร็วด้วยความสูงของรถทำให้มีการโยนตัวค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน
ในที่สุดความมันส์ก็มาถึงเมื่อ ครูฝึกชี้ไปทางขวา แล้วบอกว่า “ลุยไปเลย..ตรงนั้น”
คุณลองคิดเหมือนกำลังหนีตายวันสิ้นโลก แล้วพลันเห็นซอยลับทางรกๆ ที่คุณน่าจะใช้เป็นทางหนีทีไล่ ผมแอบชะลอความเร็วเล็กน้อยตามภาษาความคุ้นเคย แต่ถูกกระตุ้นว่า ไปเหยียบเข้าไป!!! ว่าแล้วก็กดเร่งความเร็วเข้าไปในทางป่า ช่วงล่างของ รถยังนิ่งพวงมาลัยควบคุมง่าย แม้ในช่วงความเร็วระดับ 80-90 ผลัดจากถนนดินดำมาสู่ทางลุกรังก็ไม่มีปัญหาใดๆ
ผมขับไปตามทางสั้นๆ ที่เหมือนทางป่าจริงๆ มันไม่มีทางที่คุณจะเอารถทั่วไปมาวิ่งในทางแบบนี้ได้ จนกระทั่งมาถึงสถานีแรก ด่าน rock
ด่าน rock เป็นด่านที่ทางฟอร์ดจำลองการปีนป่ายให้เราเห็นว่ารถคันนี้สามารถทำการปีนป่ายได้ง่าย โดยอาศัยโหมดการขับขี่ภายในรถที่ติดตั้งมาให้ ใช้ตามสภาพการณ์ขับขี่ทีต้องการ
เวลาปรับโหมดการขับขี่ ออกจากยุ่งยากสักหน่อย คุณต้องเลือกจากระบบขับเคลื่อนก่อนว่าจะเป็นแบบไหน ขับเคลื่อน 2 ล้อ , 4 ล้อความเร็วสูง (4H) หรือ 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าสุ่โหมดการขับขี่ที่ต้องการได้
โดยโหมดการขับขี่ต่างๆ ทั้ง 6 โหมด ได้แก่ Normal ,Sport , Glass- Gravel-Snow ,Mud-Sand, Baja และ Rock
จะไม่ทำงานในทุกโหมด ถ้าไม่เลือกเข้าตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น ในแต่ละโหมดจะมีการเซทค่าการตอบสนองเครื่องยนต์ ,พวงมาลัยไฟฟ้า ,การตอบสนองชุดเกียร์ รวมถึงระบบควบคุมการทรงตัวแตกต่างกันออกไปตามสภาพพื้นที่
วิธีการใช้งาน เริ่มจากเลือกโหมดขับเคลื่อน >> เลือกโหมดการขับขี่ …..ที่เหลือก็พร้อมลุยตามอัธยาศัย มันไม่ได้เหมือน Ford Everest ที่หมุนบิดเอาตามความต้องการ ผมว่าก็ดีไปคนละอย่างตามลักษณะการใช้งาน
ด่าน rock เป็นด่านที่ทางฟอร์ด ต้องการให้เราใช้ตำแหน่ง 4L และเลือกโหมดการขับขี่ไปยัง Rock ใช้สำหรับการปีนป่ายหิน แต่หัวใจสำคัญด่านนี้คือการโชว์ความสามารถในการลงเนินและปีนผ่านทางชัน ซึ่งในทางลงเนินนั้นมีความชันถึง 45 องศา และทางขึ้นมีความชันถึง 60 องศา ทว่า Ford Ranger Raptor สามารถปีนมุมชันได้สูงสุด 68 องศา อันที่จริงตัวรถมีมุมไต่ 32.5 องศา มุมคร่อม 24 องศา และมุมจาก 24 องศา
มันผ่านไปแบบง่ายไม่ต้องลุ้น ให้มากความผมเริ่มประทับใจในความสามารถ แม้ว่าในเมืองไทย จะไม่มีมุมชัน 68 องศา ให้เราขับหรอกในความเป็นจริง หรือถ้ามีแสดงว่าคุณอาจจะอยู่ในทางดีๆ มีไม่ไป .. อะไรประมาณนั้น
จากด่านแรกเราสับเข้าตำแหน่ง 4 H ในด่านที่ 2 เมื่อไม่เป็นไปตามเงื่อนไข โหมดการขับขี่จะถูกปลดออกจากโหมดปัจจุบันเองโดยอัตโนมัติ ผมขับในโหมด 4 H ปกติผ่านไปตามด่านต่างๆ โดยจำลองเป็นภาพทางเนินดินขนาดใหญ่ ซึ่งรถคันนี้ผ่านไปได้ง่ายดายไร้ปัญหาในการขับขี่ไม่มีเสียงครูดอะไรให้กวนใจนอกจากเสียงดินตีกับซุ้มล้อ
จนมาถึงด่านเนินสลับเราปรับเป็น 4 L อีกครั้งเพื่อผ่านเนินเหล่านี้ ปกติแล้ว รถที่มีชุดโช๊คที่ยืดได้น้อย จะทำให้เกิดอาการล้อลอยจากพื้น และทำให้ส่วนใหญ่แล้วมันจะติดในอุปสรรค หรืออาจจำเป็นต้องดิ้น หรือเมื่อล้อลอย แต่ไม่ใช่กับแรพเตอร์ มันผ่านง่ายๆ รวมถึงอาการสะดุ้งสะทานพวงมาลัยก็ไม่มีคุณขับได้แบบธรรมดาสบายๆ ตามต้องการ ผมผ่านด่านนี้และด่านขอนไม้ ด้วยความรู้สึกหลงรักช่วงล่างดีงามพระราม 8 จนเริ่มรู้สึกว่าจะมีรถอะไรที่จะวิเศษในการลุยขนาดนี้
เรากระโจนลงน้ำแบบไม่คิดอะไรมากมาย เรื่องระดับการลุยน้ำฟอร์ดไม่ได้บอกมาเป็นจุดขาย แต่ผมแอบไปเปิดสเป็คในเวอร์ชั่นออสเตรเลีย มันสามารถลุยน้ำได้มากกว่าเดิมตามสเป็คเพียงอีก 50 มม. จาก 800 มม. เป็น 850 มม. หรือ เป็น 85 เซ็นติเมตร แต่นั่นก็ถือว่าสูงแล้วกับการลุยผ่านแม่น้ำทั่วไป
เราจอดอีกครั้งปรับในโหมด 4 H แล้วเลือกโหมด Grass หรือทางหญ้า เราวิ่งบนหญ้าจริงๆ ผมกดคันเร่งเต็มที รถไม่มีการออกตัวเป๋หรือลื่นไถลให้เราได้หวาดเสียว เนื่องจากมีการควบคุมชุดเกียร์เอาไว้ การควบคุมบนหญ้าทำได้อย่างดีเยี่ยม มั่นใจไม่มีปัญหา
เราขับต่อเนื่องจากโหมดหญ้ามาทางดิน และทดลองบินด้วยการกระโดดเนินดิน กับเจ้า Ford Ranger Raptor มันมั่นใจมากไม่มีปัญหาใดๆ รถทิ้งตัวลงบนดินอย่างนิ่มนวลผมยิ้มมุมปากชอบอย่างสนุกสะใจ นี่สิจะเรียกว่ารถลุยของแท้ ไม่คิดว่าจะมีรถเพอร์เฟคขนาดนี้ในตลาด
ลุยทางกรวดด้วยบาฮา … ขับมันส์จนติดใจ
เวลาเราพูดถึงการลุย ทุกคนในบ้านเราจะนึกถึงการขับออฟโรดเดินทางช้าๆ ผ่านอุปสรรคต่างๆ จนไปถึงปลายทาง ในบ้านเราน้อยคนจะรู้จักการขับออฟโรดด้วยความเร็วสูง ซึ่งคนไทยอาจจะรู้จักในนาม “Cross Country” การขับแบบนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่ในต่างประเทศที่มีภูมิประเทศร้าง เช่น Outback ของ ออสเตรเลีย หรือ ทะเลทรายในอเมริกา มันได้รับความนิยมมาก และข่าวดีคือรถคันนี้มีระบบที่ช่วยให้คุณขับได้อย่างเซียนในทางแบบนี้มาตอบโจทย์ด้วย
Baja Mode หรือ โหมดบาฮา เป็นโหมดที่แทนมาจากชื่อการแข่งขันบาฮา รายการแข่งออฟโรดความเร็วระดับก้องโลก โหมดนี้ สามารถใช้ได้ทั้งใน 2H,4H และ 4L โดย
1.เครื่องยนต์จะปรับการตอบสนองการทำงานตามการขับขี่ของผู้ขับขี่
2.ตัดการทำงานระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (ไม่ปิดระบบควบคุมการทรงตัว)
3.เกียร์จะค้างในจังหวะรอบเครื่องเพื่อให้การตอบสนองดีที่สุด และเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลง เกียร์เร็วที่สุด
เช่นเดิมการทดสอบของเรามีครูฝึกนั่งไปด้วย โดยทางฟอร์ด หาถนนที่ห่างไกลชุมชนเป็นเส้นทางทดสอบ ด้วยระยะทางไปกลับ รอบละ 8 กิโลเมตรโดยประมาณ สภาพเส้นทางเป็นหินลอยปกติ สลับกับกึ่งโคลนบ้างเล็กน้อย มีทั้งโค้งทางตรงให้เราได้ลองกัน
พูดความจริง ผมไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ในการขับครอสคันทรี่เลย แต่ก็มีทักษะในการขับขี่อยู่บ้างพอสมควร นี่น่าจะเป็นเพียงมี่ครั้งที่จะท้าทายตัวเอง
ก่อนมาทดสอบ Ford Ranger Raptor ผมถามพี่ๆ ที่ขับแข่งแรลลี่ว่า อะไรเป็นปัจจัยในการขับแบบนี้ เขาบอก ว่าประกอบด้วย ทักษะนักขับ,ทักษะคนบอกทาง (เนวิเกเตอร์),ตัวรถ และ การจัดการทีม
แน่นอนงานนี้ไม่มีทีมแข่ง มีแต่ผมกับรถ และครุฝึกที่มานั่งในตำแหน่งคนบอกทาง ดังนั้นผมจึงประเมินตัวเองต่ำไว้ก่อนว่า เราเป็นนักขับฝีมืออ่อนบนทางแบบนี้ แต่หลังจากด่านก่อนหน้า ผมค่อนข้างมั่นใจในตัวรถขึ้นมาระดับหนึ่ง
ผมพร้อม คนบอกทางพร้อม ปล่อยตัว ผมออกตัวด้วยความเร็ว โดยวางใจกับพี่ครูฝึก เพราะไม่มีอะไรที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเก่งในทางแบบนี้ เส้นทางกรวดแบบนี้ถือว่าลื่นมาก ถ้าคุณขับโดยรถกระบะปกติด้วยความเร็ว แทบจะพูดว่าสะดุดฝุ่นก็อาจลงไปนอนยิ้มข้างทางได้แน่นอน
การขับบนทางหินกรวดแบบนี้ Ford Ranger Raptor ทำได้ดีมากจนผมรู้สึกรักรถคันนี้ไปแล้ว มันเป็นรถที่มาพร้อมความมั่นใจมากๆ พวงมาลัยรถควบคุมง่ายมาก และอาการของรถที่อาจมีหน้าดื้อ หรือท้ายปัด แก้ง่ายมาก อาการลื่นไถล ย่อมมีบ้างในทางแบบนี้ แต่ด้วยกำลังเครื่องยนต์ ยางใหญ่ และช่วงล่าง Fox ถือว่าเอาอยู่
ความจริงในระหว่างการทดสอบเขาให้วิ่งแค่ 80 ก.ม./ช.ม .แต่ผมลองขับด้วยความเร็วที่มากกว่านั้นมาก เรียกว่าเป็นความเร็วระดับขับแข่งครอสคันทรี่ได้ ครูฝึกบอกผมว่าทักษะในการแก้รถผมอยู่ในเกณฑ์ดีใช้ได้ ตอบสนองต่ออาการไว จึงวางใจให้ลองขับด้วยความเร็ว
กลายเป็นผมกับครูฝึกเข้าใจกันดี ขากลับผมหวดด้วยความเร็วสูงกวาเดิมนิดหน่อย มีจังหวะหนึ่งเรามาด้วยความเร็วกระแทกลงพื้นเหมือนรถแอบบินเล็กน้อย เกิดการลื่นไถลอย่างรุนแรง ผมแก้อาการตามที่สมควรอย่างรวดเร็ว รถตอบสนองอย่างว่องไว ทำให้เราแคล้วคลาดจากการลงไปทานหญ้าข้างทาง
ถึงจะมีเหตุการณ์นี้ ผมก็ยังฮ้อด้วยความเร็วต่อด้วยความมั่นใจ ลองแข่งกับตัวเอง แข่งกับเวลา เชื่อในคนบอกทาง ผมลงมาด้วยรอยยิ้มมุมปากว่า นี่แหละรถที่สุดยอดแล้วของการลุย ….
สรุป Ford Ranger Raptor เกิดมาลุย … แต่ต้องพร้อมจ่าย
หลายคนคงจะแปลกใจว่า ปกติแล้ว ตามมาตรฐานของทีมงาน Ridebuster จะต้องมีตัวเลขสมรรถนะ อัตราประหยัด ออกมาจากการยืมมาทดสอบเดี่ยวของรถรุ่นนั้น ทำไมงวดนี้เราถึงใช้คำว่า Full Review กับการไปทดสอบกลุ่ม
ผมมีมุมมองที่ต่างออกไปสักหน่อยในครั้งนี้ และถือเป็นกรณีพิเศษที่เราจะบอกได้ว่านี่คือ Full Review
ประการแรก Ford Ranger Raptor เป็นรถรุ่นที่มีความพิเศษสักหน่อย ด้วยการเป็นรถที่เน้นลุยสมบุกสมบันถึงขีดสุด การจะทดสอบให้ได้ครบทุกความสามารถรถ ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก ข้อสอง , ตลอด 2 วันที่อยู่กับรถคันนี้ โดยเฉพาะการมีสนามไว้ลุย ทั้งความเร็วต่ำและความเร็วสูงผมได้ คำตอบที่อยากให้ทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับรถคันนี้ และเป็นคำตอบที่แม้แต่คนที่ซื้อรถรุ่นนี้ยังยากจะที่จะลองได้ด้วยตัวเอง และท้ายสุด , ถ้าคุณซื้อรถราคา 1.7 ล้านบาท คงไม่คิดถึงอัตราประหยัดมากมายนัก ส่วนอัตราเร่ง คุณก็คงไม่ได้หวังอะไรกับรถที่ร่างใหญ่สายถึกขนาดนี้
ผมจึงตัดสินใจว่า ครั้งนี้จะต้องยอมงอกฎที่เคยทำบ้าง ก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร .. นัก
กลับมาว่าที่ Ford Ranger Raptor ตลอด 2 วันที่ไปขับรถคันนี้ ผมพูดเลยว่า นี่คือกระบะที่สายลุยตัวจริงรอคอย มันเป็นรถที่ครบเครื่องเต็มความต้องการจากโรงงาน สามารถลุยได้จริงจังถึงขั้นสุด และไม่มีทางหรือถ้าทำได้ก็ต้องลงทุนมหาศาลในการแต่งรถให้ได้เทียบเท่ามัน
ตั้งแต่ตอนเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ผมกล้าพูดว่ามันเป็นรถที่แตกต่างจาก Ford Ranger โดยสิ้นเชิง มันมีการพัฒนาโครงสร้าง เช่นจุดยึดจุดรับแรงกระแทกต่างๆ ใหม่ รวมถึงพวกจึดยึดโช๊คอัพทางด้านหลัง ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่สามารถทำได้โดยทีมช่างแต่งรถแม้นว่าจะมีประสบการณ์มายาวนาน
รถคันนี้สร้างโดยวิศวกรที่มีความบ้าในความเร็ว นั่นเป็นจุดที่แตกต่างระหว่างรถที่เกิดมาเพื่อ กับ รถที่แต่งมาเพื่อ .. ผมพูดแบบนี้หลายคนอาจจะงงสักหน่อย มันเหมือนกับคนที่มีพรสวรรค์กับคนที่มีความตั้งใจ หมั่นฝึกซ้อม
อย่างไรเสียคนที่มีพรสวรรค์ถ้าเขาทำในสิ่งที่เขามีความสามารถพิเศษในเรื่องนั้น พวกเขาก็ย่อมจะไปถึงฝั่งฝันง่ายกว่า คนที่มีความตั้งใจ นั่นคือสิ่งที่ Ford ranger Raptor เป็น มันเป็นรถที่เกิดมาเพื่อการลุยไม่ใช่เพื่อขับเฉิดฉายไปในเมือง หรือทำความเร็วเพื่อไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
มันเป็นรถที่เหมาะไว้ขับเข้าป่าในวันเบื่อโลก หรือหนีตายหากเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในเมืองของคุณ ไปจนในวันโลกแตก มหาโลกาวินาศอะไรเทือกนั้น
ด้วยความสามารถของรถไม่ว่าจะกำลังเครื่องยนต์ หรือในการลุย มันไปได้ทุกที่เท่าที่รถยนต์หนึ่งคันจะพาคุณไปได้ ไม่ว่าขึ้นทางชัน บุกป่าฝ่าดง หรือจะขับมาด้วยความเร็วแล้วลืมนึกไปว่า ข้างหน้าเป็นเนินกระโดด รถคันนี้ตอบโจทย์ได้หมด โดยที่ยังคงไว้ซึ่งความมั่นใจในการขับขี่ทั้งกับผู้ขับ หรือคนโดยสารไปด้วย
ในราคา 1.699 ล้านบาท กับรถที่มีความสามารถลุยได้เหนือกว่ากระบะทั่วไปขับได้มั่นใจ ผมพูดเลยว่ามันไม่แพงหรอกครับ แต่ถามว่ารถคันนี้เพอร์เฟคหรือยังผมตอบเลยว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ประการแรก ตัวรถไม่ได้หวือหวาเรื่องความแรงอะไร การให้กำลังถึง 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ฟังดูดี แต่มาเจอยาง 285 (33 นิ้ว) มันก็วิ่งไม่ออก แถมผมลองทำความเร็วสูงสุดรถคันนี้ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก มันทำได้ 170 ก.ม./ช.ม.บนหน้าปัด แต่อาจได้มากกว่านี้ถ้าทดสอบสมรรถนะตามมาตรฐานของเรา (เรนเจอร์เครื่อง 2.0 เทอร์โบเดี่ยว 180 ม้า ทำได้ 181 ก.ม./ช.ม.) ผมถือว่ายังน้อยไปนิด เมื่อเจอคำพูดค่อนขอดจากคนที่ไม่ได้งบประมาณจะซื้อแรพเตอร์ และด้วยเครื่องยนต์ที่มีความสามารถเท่ากับรุ่นปกติ Wildtrak ทำให้คนยังไม่เห็นความแตกต่าง กลายเป็นมีดีเพียงช่วงล่างเท่านั้น
ประการต่อมา เรื่องความสบายในห้องโดยสารตอนหลัง ถือว่ายังทำออกมาได้ไม่ดีนัก ถ้านั่งไกลๆ ยังเป็นปัญหา โดยเฉพาะการไร้แอร์หลังมาให้ และประการที่ 3 ส่วนตัวผมว่าแรพเตอร์มันดูโล้นๆ ผิดปกติ ยิ่งเมื่อมองเทียบกับ wildtrak ที่มีสปอร์ตบาร์มาให้ แรพเตอร์คุณจ่ายแพงกว่าแต่ยังไม่ได้สิ่งนี้ มีเพียงสติกเกอร์ที่มาปลอบใจเท่านั้น
ทีมงานฟอร์ดคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผม หลังวิจารณ์เรื่องสปอร์ตบาร์ เขาถามผมว่า ถ้าเป็นผมจะเลือกอะไร สติกเกอร์กับสปอร์ตบาร์ ผมบอกว่า สปอร์ตบาร์ หรือ อย่างน้อยโรลบาร์ดีกว่าสติกเกอร์ เพราะเรื่องคาดลายน่าจะเป็นความชอบส่วนบุคคล มากว่าจะมาจากโรงงาน
อย่างไรก็ดีด้วยความสามารถในการลุยที่สมบุกสมบันถึงกึ๋น สิ่งที่ผมรู้สึกว่าอยากบอกเพื่อนๆ ที่ตั้งใจจะซื้อ Ford Ranger Raptor มาครองคือว่า
1.มันไม่ได้ประหยัดน้ำมัน จากที่ขับทั้งขาไปผ่านการจราจรในเมือง ผมได้ประมาณ 11.2 ก.ม./ลิตร บนหน้าปัด ขับที่ความเร็ว 100-130 ก.ม./ช.ม. เมื่อลุย คุณจะเหลือไม่เกิน 8 ก.ม./ลิตร และขากลับผมลองขับชนิดห้อตะบึงสุดๆ เท่าที่การจราจรจะอำนวย ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 130-150 ก.ม./ช.ม. ผมได้อัตราประหยัด 8.9 ก.ม./ลิตร ทำให้โดยรวมมันไม่ได้ประหยัด ซึ่งก็ไม่แปลกใจนัก
2.เรื่องรถกระโดดได้ต้องตระหนัก เป็นเรื่องจริงรถสามารถทำได้จริง แต่ผมไม่แนะนำให้กระโดดทุกวัน หรือบ่อยนัก มันสมควรจะเป็นการกระโดดด้วยความบังเอิญ หรือบนทางบางรูปแบบเช่นทางทราย (คล้ายในทีเซอร์) เนื่องจากรถสามารถรองรับการกระโดดได้จริง แต่ใครจะกล้ารับประกันโครงสร้างในระยะยาว ว่ามันจะไม่งอ ด้วยน้ำหนักตัวเปล่ารถ 2,332 กก. (ไม่รวมคนขับและผู้โดยสาร) ไม่มีอะไรทนได้ขนาดนั้น ถ้าคุณกระโดดเนินทุกวัน
3.ไม่คล่องตัวถ้าขับในเมือง ก็แน่นอนว่ามาจากขนาดรถที่ใหญ่ แถมยังใส่ยางใหญ่มาอีก ทำให้รัศมีวงเลี้ยวทำได้ดีที่สุดเพียง 6.45 เมตร จริงๆมันมากกว่า รุ่น 3.2 ลิตร เดิมเพียง 0.2 เมตร แต่ถ้าคุณมาขับในเมือง แค่เล็กน้อยก็มีผลใหญ่หลวงมาก โดยเฉพาะ ถ้าคุณขับไปจอดเข้าห้าง ก็ต้องระวัง ดูความสูงเพดานให้ดีด้วย แถมช่องจอดรถตามห้าง ก็เรียกว่าคุณแทบจะจอดพอดีช่อง และยังมีอื่นๆ อีกมาก ที่ไม่อำนวยความสะดวกให้คุณ
4.ค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ที่ยังไม่มีใครบอกได้ ถ้าคุณต้องมองความจริงในชีวิตด้วย มันอาจไม่ใช่รถที่เหมาะกับคุณ ด้วยการใช้วัสดุพิเศษต่างๆ มากมาย อาทิ โป่งล้อหน้า ทำมาจากวัสดุ Sheet Molding Composite (SMC) ,ปีกนกอลูมิเนียมขึ้นรูป , โช๊คอัพ Fox Racing รวมถึงยาง BF Goodrich 33 นิ้ว แค่ 3-4 อย่างที่กล่าวมา หากได้รับความเสียหาย หรือต้องเปลี่ยนของเทพเหล่านี้ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ถูกๆแน่
โดยเฉพาะโช๊คอัพ Fox Racing หากพังหรือต้องซ่อม อาจมีความเป็นไปได้ต้องเปลี่ยนยกเซท ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทีละต้นหรือทีละคู่ หรือจะโป่ง SMC อาจต้องการกระบวนการทำสีพิเศษ ถ้าได้รับความเสียหาย และไม่น่าจะซ่อมได้ จากอู่ทั่วไป
ผมมอง Ford Ranger Raptor เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลา ผมคิดว่าในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบการลุยสมบุกสมบัน ผมมีเงินจะซื้ออย่างแน่นอน และไม่ต้องการเหตุผล 3-4 ข้อที่ผมเล่ามาให้ฟังข้างบน มันเป็นรถที่ครบเครื่องเรื่องลุยมากๆ จนในตลาดเวลานี้ไม่น่าจะมีรถกระบะรุ่นไหนทำได้เท่านี้แล้ว
แต่อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้รถคันนี้ไม่เหมาะกับทุกคน มันเป็นรถเลือกคนเหมือนกัน
1.คนที่ซื้อ Ford Ranger Raptor ไม่ใช่คนที่ซื้อรถกระบะคันแรก และไม่ได้มีรถเป็นคันแรก
2.ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะขับทุกวัน แต่เป็นรถที่พร้อมจะไปเที่ยวในวันว่างลุยเข้าป่าอยากสมบุกสมบัน
3.เป็นคนบ้าแต่งรถ หรือชอบแต่งรถ หรือ คิดว่าจะซื้อ Ford Ranger มาเพื่อแต่งไปลุย
4.ต้องเป็นคนที่ครอบครัวชอบเดินทางไปเที่ยวแบบสมบุกสมบัน หรือเป็นครอบครัวคออฟโรดตัวจริง เดินทางลุยบ่อย ผมให้อย่างแย่สุดออกทริป 3 เดือนครั้ง
5.ต้องพร้อมจ่ายในการบำรุงรักษารถ ซึ่งอาจจะแพงกว่ารถหรูบางรุ่น และรับสภาพได้กับความเป็นฟอร์ด (เรื่องบริการหลังการขาย)
ผมบอกฟอร์ดว่า Ford Ranger Raptor เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สินค้าที่ดีแตกต่างจากที่ท้องตลาดมีขาย และพวกเขามองเห็นแล้วว่ากลุ่มที่จะซื้อรถเป็นอย่างไร
ฟอร์ดไม่บอกตัวเลขยอดขาย Ford Ranger Raptor กับเรา แต่ยอมรับว่ายอดขายมามากกว่าที่พวกเขาคาดหมายไว้ และดีใจที่คนชื่นชอบสินค้าตัวนี้มากๆ
ผมเองยอมรับว่า หลังขับแล้วยิ่งรู้สึกชอบรถคันนี้ มันเป็นรถที่ลุยถึงใจมากมาย เป็นรถที่เข้าถึงคนที่ชื่นชอบการขับออฟโรดตัวจริง ในทุกรูปแบบเท่าที่เราจะนึกออกบนโลกนี้ สิ่งเดียวที่ขัดขวางผมตอนนี้กับ Ford Ranger Raptor มี อยู่ 2-3 ประการ 1.คือทุนทรัพย์ซื้อรถคันนี้ ที่ต้องดาวน์ 4 แสน ผ่อนเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาทอะไรเทือกนั้น 2.ต้องคุยกับคนในครอบครัว และให้เขาช่วยตัดสินใจ ผมยังโชคดีที่เราทั้งคู่ชอบความสมบุกสมบันไม่แพ้กัน จึงอาจเป็นโจทย์ที่ทำให้ผมมีโอกาสบ้าง ใครจะรู้ผมอาจจะมีแรพเตอร์เป็นคันที่ 3 ในบ้านก็ได้
ผมชอบคำพูดจากพี่สื่อคนหนึ่งที่กล่าวว่า Ford Ranger Raptor เป็นรถที่ซื้อด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า อยากได้ไม่ใช่เหตุผล .. ผมบอกเลยว่าจริง
คุณจะซื้อรถคันนี้ด้วยเหตุผลเดียวคือชอบ เรื่องสมรรถนะเป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะรู้แล้วว่ามันทำได้ และไม่เกินจริงจากโฆษณา เพียงแต่คุณต้องมั่นใจว่ายินยอมพร้อมจ่ายเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของที่สุดกระบะสายลุย จาก Ford Performance มันก็เหมือนคุณมีแฟนเป็นซุปเปอร์แมน จะเลี้ยงเขาด้วยข้าวไข่เจียวหรือกระเพราะหมูสับทุกวัน คงเป็นไปไม่ได้ … จริงไหม
ส่วนเรื่องอัตราประหยัด , อัตราเร่ง และคุณลักษณะในการใช้งานจริงๆ ทั้งในเมืองและนอกเมือง รถคันนี้ ผมจะนำแรพเตอร์ กลับมาขับอีกรอบในเร็วๆ นี้ แน่นอนครับ แต่วันนี้บอกเลยว่า ดุ พร้อม ลุย … ต้องคันนี้เท่านั้น
ขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย ที่เชิญร่วมทริป ทดสอบ Ford Ranger Raptor มา ณ โอกาสนี้
สิ่งที่ชอบ >> ตัวรถมาดพระเอกหล่อถึงพร้อมลุย มาพร้อมความสามารถจริงจัง ในเรื่องลุยทุกรูปแบบ ที่คุณนึกออก และเท่าที่รถคันหนึ่งจะสามารถให้ได้
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> อาการโคลงตัวในช่วงความเร็วปานปลาง 120-130 ก.ม./ช.ม. อาจจะมาจากการทำงานของชุดช่วงล่าง และทำให้ไม่มั่นใจในการขับขี่ แต่ถ้าขับเร็วกว่านั้นไม่มีปัญหา
สิ่งที่อยากให้มี / เปลี่ยนแปลง >> ควรมีสปอร์ตบาร์ หรือ โรลบาร์ จากโรงงาน รวมถึงช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
คำแนะนำ สำหรับผู้ซื้อ >>> ถ้าคุณเป็นชอบลุย เน้นขับเข้าป่าในวันว่าง หรือต้องผ่านเส้นทางหลุมบ่อเป็นกระจำแล้วอยากไปกลับบ้านอย่างรวดเร็ว นี่คือกระบะที่เหมาะสมที่สุด แต่ต้องแน่ใจว่า พร้อมจ่ายกับราคาค่าตัวรถอันแสนแพง ที่มาพร้อมของเล่นเทพๆ ที่แม้นจะมือพระกาฬแต่งรถก็ยังยากจะทำได้
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”698″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]