การจะรีวิวรถแต่ละคัน มันไม่ใช่ง่านง่ายๆ หลายคนอาจคิดว่าก็แค่ขับแล้วมาพ่นให้ฟังว่ารถเป็นอย่างไร แต่หลายครั้งผมเห็นงานรีวิว ที่ท้ายสุดกลายเป็นงานขายของ ทั้งที่ควรจะสร้างความเข้าใจแก่รถยนต์รุ่นนั้นให้มากขึ้นไปอีก
ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ Nissan Terra เป็นรถที่เปิดตัวออกมาตามความคาดการณ์ของเรา นับตั้งแต่มีการเปิดตัวในระดับโลก ขายในประเทศ จีน และฟิลิปปินส์ตามลำดับก่อนเข้ามาขายในไทย คนจำนวนไม่น้อยมองว่ารถรุ่นนี้มาช้า “เจ้าพ่อตลาดวาย” อะไรแบบนั้น แต่ความล่าช้าของนิสสัน ก็พกความดีความชอบมาหลายอย่าง จนต้องลองสัมผัสจะรู้ว่ามันไม่ขี้เหร่ เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายรุ่นของมัน
นิสสัน อาจหายหน้าไปจากวงการรถยนต์อเนกประสงค์จากพื้นฐานกระบะนานเอาเรื่อง จนบางทีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า นิสสันไม่เคยทำรถกลุ่มนี้มาก่อน
ถ้าย้อนไปถึงในช่วงยุค 90 Nissan เคยผลิตรถสไตล์นี้ออกมาขายในยุคที่รถอเนกประสงค์ยังไม่นิยมมากเท่าปัจจุบัน เวลานั้นรถที่ถูกนำมาขายใช้ชื่อว่า Nissan Terrano โดยหยิบเอาแชสซีโครงสร้างของ Nissan Big M ในเวลานั้นมาต่อยอดต่อประกอบเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 5 ประตู โดย ประตูหลังใช้มือจับแบบซ่อนล้ำยุคมากในช่วงนั้น จนหลายคนคิดว่ามันเป็น 3 ประตู (รุ่น 3 ประตูก็มีขายในบ้านเรา แต่น้อยมาก) โครงสร้างกระบะจัดหนักพร้อมลุย Nissan Terrano กลายเป็นรถที่นำร่องอเนกประสงค์สายลุยก็ว่าได้
ตอนที่เปลี่ยนโฉม Nissan Terrano II เข้ามาขายในไทย นิสสันยังคงแนวทางรถโครงสร้างจากพื้นฐานกระบะ Body On Frame เช่นเดิม แต่รถเปลี่ยนไปมาก หน้าตาพวกมันไม่ใช่กระบะอีกต่อไป หน้าตาแบบใหม่ จะว่าเก๋งก็ไม่ใช่กระบะก็ไม่เชิง
Nissan Terrano II เข้าทำตลาดในบ้านเราในช่วงปี 1996 โดยประมาณ ในราคาที่คนรุ่นพ่อต้องซื้อราวๆ 1.2 ล้านบาท (จากที่พอจะสืบทราบมาได้) ถือว่าเป็นราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูงอยู่พอตัวในเวลานั้น
รถรุ่นนี้ทำตลาดได้พอสมควร แต่ด้วยความที่อะไหล่หลายชิ้นไม่สามารถใช้จากกระบะ Big M ได้ (ผิดกับรุ่นแรก) ตลอดจนยังเป็นรถนำเข้าจากประเทศสเปน (ตามที่มีข้อมูล) Nissan Terrano รุ่นที่ 2 จึงกลายเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร รหัส KA24E 117 แรงม้า ทำแรงบิด 191 นิวตันเมตร และด้วยความเป็นรถสายลุยเครื่องเบนซิน ทำให้มันถูกค่อนขอดจากคนเล่นออฟโรด โดยเฉพาะเรื่องการลุย แต่หลายคนที่ซื้อและเป็นเจ้าของก็ชอบกับความสามารถของมัน โดยเฉพาะความหรูหราตัวรถ
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาในยุค Toyota Sport Rider , Isuzu Vega นิสสันไม่ได้ทำตลาดรถยนต์ Nissan Terrano ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจาก นิสสันต่างประเทศเปลี่ยนชื่อรถรุ่นนี้เป็น Nissan Pathfinder สร้างความงงกับลูกค้าไม่น้อย
ชื่อรุ่นยังกับจำมาจาก ยานอวกาศลงดาวอังคารขององค์การนาซ่า Nissan Pathfinder ไม่เคยเข้ามาขายในไทยด้วยเหตุผลบางประการ แต่ถ้ามันมาขาย มันก็คือ Nissan Navara แปลงตนเป็นร่างแวนเต็มพิกัด ทรงกล่องหน้าตาเหลี่ยมราวกับหลุดมาจากโลกยุค 90 ทำให้เราเชื่อว่า ที่นิสสันไม่เอาเข้ามาขายเพราะเกรงไม่น่าจะโดนใจคนไทย แถมช่วงนั้นคู่แข่ง Toyota Fortuner , Mitsubishi Pajero Sport ก็ออกแบบมาดีจนเกินกว่าที่จะเสียทำตลาดไปเปล่าประโยชน์ รถรุ่นนี้จึงไม่เคยมาขายในไทย (ดีแล้วล่ะที่ไม่มาขาย)
จากประวัติศาสตร์อันยาวนานจะเห็นได้ว่า นิสสันมีรถกลุ่มนี้ที่พร้อมทำตลาดอยู่แล้วเพียงแต่ไม่ได้เข้ามาขายในไทยในระยะหลังเท่านั้น ในที่สุดในช่วงวันสงกรานต์บ้านเรา ที่ประเทศจีนเป็นครั้งแรกที่ นิสสันประกาศความพร้อมในการวางจำหน่าย Nissan Terra ในตลาดอาเซียน เอาใจคนที่ชอบอเนกประสงค์พร้อมลุย
นิสสัน เปิดตัวรถรุ่นนี้ มาเรื่อยจนมาถึงกำหนดการขายในไทย ในวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นการเปิดบทใหม่อีกครั้งของอเนกประสงค์สายลุยจากนิสสัน
นับตั้งแต่ครั้งแรกจนมาถึงวันนี้ นิสสันพยายามสื่อสารด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นน้องเล็กสายตรงย่อส่วนมาจาก Nissan patrol รถยนต์อเนกประสงค์สายลุยตัวจริงที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1951 มาจนถึงปัจจุบัน
Nissan ไม่เคยหยุดผลิต Nissan Patrol ตลอด 67 ปี กว่า 6 รุ่นที่ทำออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จของแบรนด์ในเชิงการลุยทางฝุ่น คลุกทางหินไปได้ทุกที่ พรั่งพร้อมความหรูหรา จนถึงขนาดเคยร่วมการชิงชัยรายการแข่งแรลลี่สำคัญๆ มาแล้ว
Nissan จับจุดดีเอ็นเอจากพี่ชายนี่แหละ เป็นเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน ปัจจุบันอเนกประสงค์จากกระบะไม่มีใครทำรถชูจุดขายตรงนี้แล้ว ทุกคนอยากจะหรู , อยากจะดูดี ทันสมัย ทั้งที่เป็นอเนกประสงค์จากกระบะ ดั้งเดิมใช้เป็นรถตรวจการในป่าเขา และเปลี่ยนความจริงไม่ได้ เมื่อลูกค้าได้สัมผัส
สำหรับผม การวางหมากเกมสื่อสารแบบนี้เข้าท่า เพราะ บริษัทมี Nissan X-Trail อยู่แล้ว การเพิ่ม Nissan Terra ฟังดูแปลกสักหน่อย เมื่อคิดว่าบริษัทมีรถอเนกประสงค์ 2 รุ่น ที่ออกมาจับกลุ่มลูกค้าเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน
ตอนเปิดตัว Nissan Terra ผมมีโอกาสคุยนอกรอบกับหนึ่งในทีมงาน Nissan (ขอสงวนนาม) ที่คุ้นเคยกันดี ผมยิงคำถามสำคัญอย่างตรงประเด็น ….
“นี่มันจะไม่ทับไลน์กันเองหรือ”
“ไม่หรอกเธอ … คือแบบนี้ เมื่อก่อนเวลาเราจะบอกว่า อเนกประสงค์ลุยได้ เราก็ต้องจับ X-Trail ไปลุยใช่ไหม แต่ตอนนี้เราก็มี Nissan Terra พร้อมให้เธอลุยไง ส่วนขับสวยๆหล่อๆ ก็ยังเป็นหน้าที่ของ Nissan X-Trail”
การพูดคุยสั้นๆ ทำให้ผมเข้าใจ Nissan Terra และ Nissan X-Trail มากขึ้น แล้ววันนี้ถึงเวลาที่เราจะไปทำความรู้จักกับมันเพิ่มเติม …
ลองลุยเมือง จะเป็นอย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อตอนทดสอบกลุ่ม Nissan Terra ทิ้งความประทับใจไว้ด้วยความรู้สึกมั่นใจในการขับขี่ และเครื่องยนต์ที่เร่งติดเท้าจากรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ในงวดนี้เมื่อต้องขอมาทดสอบเดี่ยวอีกครั้ง จึงตัดสินใจขอรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD เตรียมไปลุยสมบุกสมบันทางป่าเขาด้วย
ตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก และอย่างที่ทุกคนเห็นผ่านตาในโชว์รูม หรืองานแสดงรถยนต์ทั้งหลาย Nissan ยึดแนวทางหน้ากระบะมาเป็นจุดเริ่มต้น บางคนค่อนขอดว่า ทำไมนิสสันไม่ลงทุนเปลี่ยนหน้ารถมันสักหน่อย สมัยนี้ใครเขาทำอเนกประสงค์จากกระบะหน้าตาละม้ายคล้ายกันบ้าง
เรื่องนี้ผมเห็นด้วย หากมองกลับกัน จะพบว่าตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันนิสสันยึดแนวทาง ถ้าเป็นอเนกประสงค์จากกระบะหน้าต้องเหมือนกระบะมาตลอดไม่เว้นกระทั่ง Nissan Patrol (รุ่นปัจจุบัน) หน้าตามันก็เรียกว่าลอกมาจาก Nissan Titan ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอย่างที่หลายคนคิดนัก (อาจเป็นนโยบายจากเบื้องบนในบริษัทก็ได้)
กระจังหน้า V Motion พร้อมกันชนหน้าใหม่ โคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ส่องสว่างด้วยไฟ LED หน้าตารถคันนี้จะว่าไปก็หาใช่ขี้เหร่นัก แม้จะไม่สามารถลบคำสบประมาทเรื่องหน้ากระบะไปได้ ด้านข้างติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R18 ด้านท้ายไม่ได้ติดตั้งชุดประตูท้ายไฟฟ้าเหมือนชาวบ้านที่เขามีมาให้ครบเครื่องเรียบร้อย ยังเปิด-ปิดด้วยมือ น้ำหนักกลางพอรับได้
เมื่อพูดถึงขนาดตัวรถ ความยาว 4,885 มม .กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. มีระยะฐานล้อ 2,850 มม. นิสสัน เทอร์ร่า ถือว่าเป็นรถที่มีขนาดใหญ่รุ่นหนึ่งในตลาดอเนกประสงค์จากกระบะพอสมควร
ผมรับกุญแจรีโมทถือไว้ในมือ มองมันแล้วคิดว่า “อีกแล้วหรือ???” ที่นิสสันใช้กุญแจสหกรณ์อันเล็กทรงเม็ดข้าว จนบางครั้งแอบผิดหวังในใจไม่น้อย เมื่อเรากำลังขึ้นขับรถคันละล้านกว่าบาทกลางๆ
เมื่อเปิดประตูก้าวขึ้นรถ นั่งรถบนเบาะคนขับ กวาดสายตาถ้วนทั่ว ยิ่งจับมือกุมหน้าผากต่อไป ปุ่มสตาร์ทใสอันเล็ก ช่องแอร์ด้านข้างชิดริ่มทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งตอนหน้า เหมือนหยิบยืมมาจาก Nissan March แถมภายในรุ่นนี้มาพร้อมเบาะนั่งสีน้ำตาล ดูสูงวัยยิ่งขึ้น เเข้ากลุ่มเป้าหมายวัย 40 ซึ่งผู้เขียนยังไม่แก่ขนาดนั้น
ยังดีความเครียดในการออกแบบนิสสัน ทุเลาลงเมื่อปรับเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมตัวดันหลัง สัมผัสนั่งสบายจเทียบเท่า นิสสัน เทียน่า (ไม่รู้ไปเอามาใช้หรือเปล่า) ฝั่งคนนั่งต้องช่วยตัวเองด้วยเบาะนั่งปรับมือ 4 ทิศทาง แต่น่าเสียดายพวงมาลัยปรับได้เพียงสูงต่ำ ทำให้หาท่านั่งรถคันนี้ยากยิ่ง และปรับแล้วดูจะยังคับแคบ สำหรับคนตัวสูงใหญ่อย่างผม
เบาะนั่งตอนสอง แปลกประหลาดกว่าชาวบ้านสักหน่อย เมื่อขึ้นไปนั่งจะรู้สึกสูงเต่อขาลอย โดยเฉพาะคนตัวเตี้ย อาการนั่งเบาะแถว 2 Nissan Terra คล้ายคุณนั่งรถตู้โดยสารวิ่งวิน ในเบาะแถวสุดท้าย ที่มีถังแก๊สใต้เบาะนั่ง ตัวขาเบาะจะสูงสักหน่อยกว่าแถวที่นั่งอื่นๆ ทำให้เห็นทั่วห้องโดยสาร
นิสสัน เรียกการออกแบบนี้ว่า ที่นั่งเล่นระดับ หรือ Theatre Seat เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับอเนกประสงค์รุ่นอื่นในกลุ่มเดียวกัน ตัวเบาะเลื่อนเดินหน้าถอยหลังได้ ปรับเอนได้ ทั้งยังพับเก็บในอัตรา 60/40 ตามต้องการ แถมยังมีปุ่มพับม้วนตีลังกาได้ในปุ่มเดียว ใช้เปิดทางเข้า-ออกเบาะแถว 3 ได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
ถ้าพรรคพวก-คนที่บ้านคุณช่วยดูทาง ไม่นอน ก็ยังมีจอหลังขนาด 11 นิ้วติดตั้งมาให้ดูรายการบันเทิงตามต้องการ ด้านหน้ามีชุดเครื่องเสียง Kenwood ขนาด 7 นิ้ว ถึงจะไม่จัดการยัดเครื่องเสียงระดับเทพมาให้ เท่าที่ผมฟังคุณภาพขับกล่อมลำโพง 6 ตัวในห้องโดยสาร มันแจ่มว้าว เมื่อคุณเร่งเสียงให้กระหึ่ม ดีทั้งดูหนังหรือฟังเพลงที่คุณต้องการ
ระบบปรับอากาศฝังเพดานแบบแอร์ราว ให้ความสบายในห้องโดยสารได้ทั่วถึง ยาวไปยันคนนั่งเบาะแถว 3
มันน่าแปลกสักหน่อยที่เบาะแถว 3 กลับไม่ได้ถูกเล่นระดับเหมือนเบาะแถว 2 ทำให้มันจมลง แถมพื้นที่แถว 3 ก็ยังไม่มากมายให้ผู้ใหญ่ตัวสูงไปนั่งได้เช่นเดิม คุณต้องจัดลำดับจับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเป็นผู้โชคดีไปนั่งโดยสารยังจุดท้ายรถ โชคดีการเข้าออกเบาะแถว 3 ง่ายมาก ด้วยระบบ 1 Touch Fold and Tumble ที่เราบอกไปเมื่อสักครู่ ส่วนการเปิดใช้ตัวเบาะแถว 3 อาศัยเชือกที่อยู่ด้านหลัง ต้องดึงจากห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ
กลับมาขึ้นตำแหน่งสารถีกดปุ่มสตาร์ทแบบเดียวกับอีโค่คาร์ เริ่มการทำงานเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.3 ลิตร ให้กำลัง 190 แรงม้า ทำแรงบิดต่อเนื่องสูงสุด 450 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ขุมพลังใหม่บล็อกนี้ยังพกคู่หูเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่เราคุ้นเคยจาก Nissan Navara
อันที่จริงย้อนไปตอนทดสอบกลุ่ม นิสสันกล่าวว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้ได้มาจากแบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศสเรโนลต์ และในบรรดารถยนต์ Nissan Terra ที่วางขายในเอเชีย มีไทยที่เดียวที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกนี้ เพราะในจีนใช้ เครื่องเบนซิน QR25DE , ในฟิลิปปินส์ใช้เครื่อง YD25DDTi จึงนับว่าเป็นความภูมิใจของบ้านเรา ที่ได้เครื่องบล็อกนี้
สัมผัสพวงมาลัย Nissan Terra ครั้งแรก ผมไม่ชอบขอบที่ดูบางไปสำหรับคำว่า “รถยนต์อเนกประสงค์” มันให้ความรู้สึกราวกับพวงมาลัยมาจากรถเก๋งเล็ก เหมือนมันไม่ได้ออกแบบมาให้เจ้าบึกบึนคันนี้ ดูราวกับยึดมาจากน้องเล็กสักรุ่น ทำให้ความรู้สึกแรกผมกับมันไม่ค่อยดีนัก
ตอนช่วงความเร็วต่ำเช่นการเข้าออกลานจอดรถ ด้วยการยังใช้ระบบช่วยผ่อนแรงแร็คแอนด์พิเนียนธรรมดาทั่วไป บวกกับขนาดยาง 265 ทำให้พวงมาลัยค่อนข้างหนักมือพอสมควร แถมยังมีระยะฟรีเยอะ ทำให้เวลาเข้า-ออกลานจอดรถ หรือที่แคบที่ต้องเย่อเปลี่ยนทิศทางกันบ่อยๆ จนรู้สึกเหนื่อยสักหน่อย ด้วยตัวรถขนาดใหญ่พวงมาลัยหนักอึ้งไม่ใช่เรื่องโสภานัก ถ้าคิดว่าจะซื้อรถคันนี้มาขับในเมืองแล้วต้องผ่านทางแคบเข้าออกที่จอดรถแคบๆ บ่อยครั้ง
ด้านทัศนวิสัยการขับขี่ ด้วยการเกิดเป็นอเนกประสงค์สายลุย ทำให้คุณสามารถมองการไกลได้ง่าย จุดอับของรถมีบ้างช่วงแก้มหน้าซ้าย นิสสันออกแบบฝากระโปรงยกปีกขึ้นมาเพิ่มความดูลุยบึกบึน จุดนี้บางทีเป็นมุมอับสายตา ทำให้อาจกะระยะผิดพลาดได้บ้าง
ยังดีที่รถคันนี้มีระบบ Nissan Around View Monitor รวมถึงกล้องมองหลังมาให้ใช้งาน เป็นหูเป็นตาช่วยคุณ แต่การแสดงผลระบบกลับยังอยู่ในกระจกมองหลัง (อีกแล้ว) ผมเคยทราบมาว่า คุณสามารถต่อสัญญาณออกมาที่จอเครื่องเสียงได้ ถ้าคุณซื้อออพชั่นเพิ่มจากตัวแทนจำหน่าย
พูดถึงการขับขี่ในเมืองสัมผัสแรก ผมเริ่มชอบ Nissan Terra ขึ้นมาบ้างจากความรู้สึกขับสบาย และเมื่อสลับขับกับนัทมานั่ง ก็พบว่ามันนั่งสบายมาก การพัฒนาระบบกันสะเทือน ทางด้านหนาแบบปีกนกอิสระ 2 ชั้น และด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ มาพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหน้าและหลัง บ่งชี้ว่า นิสสันเซทช่วงล่างออกมาแนวนั่งสบายขับมั่นใจ นุ่มหนึบ แต่ก็ยังมีความกระด้างในสไตล์รถอเนกประสงค์จากกระบะติดปลายนวมอยู่พอตัวในบางจังหวะ
การขับขี่และนั่งสบาย เป็นข้อเด่นของ Nissan Terra ที่ค่อนข้างชัดเจน ทว่าการขับในเมืองเจอการจราจรติดขัดต่อเนื่อง ทำให้อาจยังไม่ได้เรียนรู้ตัวรถมากมายนัก แถมด้วยเครื่องยนต์ 2.3ลิตรเทอร์โบคู่ ไร้ระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ช่วยเหลือให้ความประหยัดเพิ่มเติม ทั้งที่น่าจะมีมาให้
ขับแวบเดียวไปไหนมาไหนมากมายไม่ทราบ ได้ระยะทาง 100.6 กิโลเมตร ผมเข้าปั้ม ลั่นวาจา “น้องเต็มถัง” ยัดเบนซิน เอ้ย!! ดีเซลได้สุทธิ 8.91 ลิตร สรุปอัตราประหยัดได้ 11.29 ก.ม./ลิตร ในสภาพการขับจริงในเมือง มีรถติดบ้างตามภาษาป่าคอนกรีต
นอกเมืองเที่ยวราชบุรี ไม่ขี้เหร่อย่างที่คิด
จบวันแรก Nissan Terra ให้สัมผัสน่าพอใจในแง่ความประหยัดจากตัวรถ และความสบายในการโดยสาร ทำเอาเรื่องความสูงเต่อเบาะตอนสองเลือนไปจากความคิดเสียสิ้น
ตื่นตอนเช้าวันใหม่ ผมจัดแจงข้าวของชุดปิกนิก พร้อมออกเดินทางกับทีมงาน Ridebuster ปลายทางยังอำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี
การเดินทางวันนี้อุปสรรคค่อนข้างมาก เนื่องจากการจราจรถนนกาญจนาฯ และถนนปิ่นเกล้านครชัยศรีติดขัดมาก แดงทั้ง Google Map ผมเลยตัดสินใจใช้เส้นทางลัดจากแถวบางใหญ่ ไปตัดออกยัง อ.นครชัยศรีแทน
เส้นทางลัดส่วนช่วงแรกเป็นถนน 2 เลนสวน การจราจรไม่ติดขัดวิ่งได้เรื่อยๆ ใช้ความเร็ว 80-90 ก.ม./ช.ม. จนกระทั่งตัดออกนครชัยศรีกลับเข้าถนนเพชรเกษม ใช้ความเร็วเพิ่ม 100-120 ก.ม./ช.ม. ตลอดทาง จนถึงทางเลี้ยวเข้าสวนผึ้งกลับมาเป็นถนนสองเลนสวนอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งยาวๆ ไปยังที่พักปลายทาง
ระหว่างการเดินทาง ความหวั่นใจในเรื่องน้ำหนักพวงมาลัยของนิสสันเทอร์ร่าหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อขับรถด้วยความเร็วเดินทาง 80-120ก.ม./ช.ม. พวงมาลัยจะน้ำหนักกำลังพอดีเหมาะมือ เรื่องการคุมทิศทางพวงมาลัยจะมีระยะฟรีบ้างประมาณ 4-5 องศาในแต่ละฝั่ง ทำให้ความรู้สึกบางคนที่ขับรถพวงมาลัยไฟฟ้ารุ่นใหม่บ่อยๆ จะไม่ค่อยชอบมันเท่าไรนัก
การมีระยะฟรีพวงมาลัยอาจไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคย ยิ่งรถสมัยนี้พวงมาลัยไฟฟ้าปรับน้ำหนักพวงมาลัยเซทหนืดได้ตามต้องการ ทำให้พวงมาลัย นิสสันเทอร์ร่ารู้สึกโบราณ แถมอัตราทดพวงมาลัยก็ไม่ได้คมกริบ ขนาดเบี้ยวนิดเดียวเปลี่ยนเลนได้เลย
ถึงฟังดูจะมีแต่ข้อเสียกับเรื่องบังคับทิศทางพวงมาลัย แต่ผมกับนัท ทีมงาน Ridebuster ที่สลับกันขับ Nissan Terra กลับรู้สึกชอบพวงมาลัยเจ้ายักษ์นี่ มันเป็นพวงมาลัยที่ขับแล้วผ่อนคลายไม่เครียด
แม้ว่าระยะฟรีพวงมาลัย จะถูกดูแคลนว่าเป็นหอกข้างแคร่ในการขับขี่ ต้องหมุนพวงมาลัยมากเพื่อบังคับทิศทาง มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หากก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีดีเลย
เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ผมรู้สึกว่าการมีระยะฟรีทำให้เรามีกันชนทางความคิด เวลาบังคับมันจะยังไม่ไปตามเราเสียทีเดียวก็จริงอยู่ หากบางครั้งในการขับรถแม้จะในทางตรงมีหลายครั้งที่คุณอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะบังคับทิศทางรถ โดยเฉพาะเวลาที่ขับสบายๆ ไปเรื่อยๆ
พวงมาลัยแบบนี้มีดีตรงเวลาคุณผ่านถนนปะ หลุม หรือถนนไม่เรียบ จะไม่เครียดกับการคุมพวงมาลัย ถึงรถจะสะเทือนอะไรก็ตามถ้าคุณไม่เผลอไปหมุนพวงมาลัยเกินระยะฟรีที่กำหนด มันก็จะยังวิ่งตามทิศทางที่เราสั่งเหมือนเดิม แถมพวงมาลัยลักษณะนี้ยังมีดีอีกข้อ ในเวลาคุณกระชากพวงมาลัยด้วยความตกใจหรืออะไรก็ตาม รถจะไม่ออกอาการเหวี่ยงตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้การโยนตัวของรถน้อยกว่า
บางคนอาจหวั่นใจว่า เวลาขับทางโค้งขึ้นเขารถจะเข้าโค้งไม่ดี ต้องคัดพวงมาลัยมากกว่าปกติ หรือเปล่า
ผมตอบให้เลยว่าไม่ ใช่มันอาจจะต้องใช้จังหวะพวงมาลัยมากกว่า พวงมาลัยที่ไม่มีระยะฟรีสักนิด
แต่เอาเข้าจริงจากที่ขับผ่านเส้นทางก่อนถึงที่พักในสวนผึ้งเป็นทางโค้งต่อเนื่อง ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาแบบที่บางคนเข้าใจกับพวงมาลัยชุดนี้ ยิ่งถ้าย้อนไปตอนขับทดสอบกลุ่ม ที่เชียงรายบนเส้นทางดอยตุง-ดอยช้างมูบ เส้นทางคดเคี้ยวไปทางบ้านผาฮี้ มันก็ดูไม่ได้มีปัญหาว่าจะตัองคัดพวงมาลัยมากมายอะไรนัก เว้นโค้งพับผ้าหักศอกจริงๆ
เหตุผลหนึ่งที่พวงมาลัยไม่เป็นปัญหายามเข้าโค้งต่อเนื่อง เพราะ Nissan Terra สามารถล็อคเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนเป็นสองล้อหลังได้
การเข้าโค้งรถขับเคลื่อนล้อหลังคุณสามารถเดินคันเร่งควบคู่กับการบังคับทิศทางพวงมาลัยได้ ทำให้ในความจริง ไม่ต้องบังคับหักเยอะเว่อวังอะไรมากมาย เพียงหักทิศทางตามโค้ง แล้วเดินคันเร่งต่อเนื่องเรื่อยๆ มันจะดันท้ายรถ ไปเรื่อย รถก็สามารถเข้าโค้งได้อย่างเนียนๆ
สำหรับคนที่ผ่านมือรถกระบะหรือเคยขับรถขับเคลื่อนล้อหลังมาก่อน จะใช้การขับเข้าโค้งแบบนี้มากกว่าการปล่อยไหลหักพวงมาลัย แล้วเดินคันเร่งออก ดังนั้น ถ้าถามผมและทีมงาน Ridebuster น้องนัท พวกเรารู้สึกว่าพวงมาลัยชุดนี้ไม่คมก็จริง แต่ขับสบาย และให้คุณภาพการบังคับทิศทางสมน้ำสมเนื้อกับความเป็นรถครอบครัว
จุดเดียวในแง่สมรรถนะที่ผมรู้สึกไม่ชอบแล้วติงนิสสันไปตั้งแต่ตอนทดสอบกลุ่ม นิสสันเทอร์ร่า ที่เชียงรายแล้ว คือว่า ระบบเกียร์ของมันไม่ฉลาดพอจะทดเกียร์ต่ำ ช่วยโดยเฉพาะเวลาขับลงเนิน คุณต้องผลักเข้าโหมดเลือกเกียร์เอง แล้วเลือกตำแหน่งเกียร์ตามสมควร จึงจะมี Engine Brake ช่วยในการขับขี่เกิดขึ้น
เรื่องการสั่งหยุดรถเป็นหน้าที่ของระบบดิสก์เบรกทางด้านหน้า พร้อมจานเบรกมีร่องระบายความร้อน ด้านหลังใช้แบบดรัมเบรก การหยุดได้ความนิ่มนวลเวลาเหยียบพอสมควร ทว่าด้วยการใช้ดรัมเบรกทางด้านหลัง มันอาจจะมีปัญหาเวลาลงเขา ถ้าคุณเหยียบเบรกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าเกียร์ไม่เชนช่วย หากผู้ขับขี่ไม่เลือกโหมดเลือกเกียร์เอง ก็คงต้องเบรกกันตะพึดตะพือ จนเบรกอาจไหม้ ในการชะลอรถน้ำหนัก 2 ตันเศษๆ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม นิสสันควรโปรแกรมเกียร์ช่วยเวลาลงเขาบ้าง อย่างน้อยที่สุดช่วยทอนเกียร์สักจังหวะ เผื่อสำหรับคนขับหน้าใหม่ที่อาจชอบ นิสสัน เทอร์ร่า
อาจด้วยวันนี้เราเจอรถติด วิ่งบนถนน 2 เลน สวนเยอะมาก แถมการจราจรยังอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าคับคั่ง ผลอัตราประหยัดการมาสวนผึ้งเรา จึงออกมาไม่ค่อยสู้ดีนัก เราได้ 9.9 ก.ม./ลิตรในการเดินทางครั้งนี้ (แต่หลังจากนั้น เรากลับมาทดสอบในเส้นทางวิ่งตรงยาวๆ ไปยังอยุธยา ใช้ความเร็ว 100-120 ก.ม/ช.ม. ได้ค่าเฉลี่ยอัตราประหยัด 13.5 ก.ม./ลิตร)
ลุยสั้น “ห้วยคอกหมู” ทางโหด หลังหน้าฝน
การเดินทางมายังสวนผึ้ง เรามีวาระสำคัญกับนิสสัน เทอร์ร่า เราต้องการจะบุกตะลุยเส้นทางออฟโรดดูบ้าง ตามคำโฆษณาของนิสสัน
ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าไม่มีใครเคยนำเจ้านี่มาลุยสมบุกสมบันนัก ย้อนไปตอนทดสอบกลุ่มก็ได้ลองเพียงสถานีจำลอง ซึ่งก็ไม่ได้มากมายนัก ดังนั้นนี่จะเป็นครั้งแรกที่เราลุยออฟโรดกับ Nissan Terra อย่างจริงจัง
เส้นทางออฟโรดไปยังจุดชมวิว ห้วยคอกหมู อำเภอสวนผึ้ง เป็นเส้นทางในสภาพดินทรายผสมดินลูกรัง บางพื้นที่ระหว่างเส้นทางจำเป็นต้องปีนหินบ้างเล็กน้อย แต่ความโหดของมันนั้นไม่เท่ากับเขากระโจมอันเลื่องลือ
สาเหตุที่เลือกที่นี่เป็นจุดทดสอบออฟโรด เนื่องจากความเหมาะสมกับตัวรถ คงไม่มีใครเอาไปลุยโหดมากมาย และไม่น่าจะมีใครพาครอบครัวเที่ยวป่ามากนัก
แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้ ห้วยคอกหมูมาโหดสักหน่อย ด้วยสภาพทางหลังฝนที่มีร่องกุยรถล้อโต บวกกับทางน้ำไหลอยุ่ต่อเนื่อง
Nissan Terra โชว์ความสามารถตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเราบิดเข้าตำแหน่ง 4L มันขึ้นได้ง่ายมาก ด้วยกำลังแรงบิด 450 นิวตันเมตร มาตั้งแต่ 1,500 รอบต่อนาที ทำให้คุณสามารถผ่านอุปสรรคได้ง่าย
ส่วนที่ผมดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นปัญหา คือกันชนหน้าที่ดูค่อนข้างต่ำ ทำให้บางครั้งอาจมีครูดท้องกันชนหน้าบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะในช่วงไต่ทางที่เป็นเนินหรือโขดหินจุดนี้คงต้องทำใจสักนิด หากตัวรถก็มีระยะความสูงจากใต้ท้องถึงพื้นหรือ Ground Clearance สูงถึง 225 มม.
ช่วงระหว่างทาง ผมชื่นชมการเซทระบบกันสะเทือน Nissan Terra เมื่อมาลุยมันไม่สูญเสียความนั่งสบายเมื่อเทียบกับรถรุ่นกระบะ หรืออเนกประสงค์จากกระบะรุ่นอื่น การซับตัวจากความต่างระดับของหินเส้นทาง หรือแรงกระแทกเมื่อคุณขับไปบนทางขรุขระเจ้านี่ถือว่าอยุ่เกณฑ์ดีเยี่ยม
ผมรู้สึกเหมือนโช้คเจ้านี่น่าจะยาวกว่าชาวบ้าน ทำให้มันนั่งสบายอย่างไม่น่าเชื่อ แถมล้อขอบ 18 นิ้วยังมาพร้อมยางแก้มสูง ทำให้การซับแรงทำได้ดีมากจนต้องออกปากชมกันทีเดียว
ระหว่างทางที่เราขับผ่านทางขรุขระตลอดกว่า 5-6 กิโลเมตร พวงมาลัยที่มีระยะฟรี ยังตอบอีกข้อสำคัญ โดยเฉพาะเวลาตกหลุม กระแทก ถ้าเป็นพวงมาลัยที่คมตัวพวงมาลัยจะแกว่งทำให้ คนขับต้องยึดให้มันบังคับในทางที่จะไปตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเครียดพอสมควร กับการขับเส้นทางแบบนี้
นิสสัน เทอร์ร่า เหมือนหนังคนละม้วน การมีระยะฟรีพวงมาลัย ทำให้ความเครียดในการต้องถือพวงมาลัยเวลาตกหลุมน้อยลง แม้พวงมาลัยจะแกว่งจากการลุย แต่ทิศทางการบังคับรถไม่เปลี่ยน นับเป็นข้อดีที่มองข้ามไม่ได้
เรื่องของเล่นการลุยเหมือนจะมีไม่มากแต่ก็ครบเครื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะโหมดขับขี่ 2H,4H และ 4L ตอบเรื่องการลุยเป็นธรรมดาแล้ว โหมด 2H ไป 4H สามารถเข้าได้ทันที่ที่ความเร็วไม่เกิน 90 ก.ม./ช.ม. ยังมีเรื่องระบบช่วยออกตัวและลงทางลาดชัน รวมถึงเครื่องมือเทพในการลุย ด้วย Electronic Rear Differential-Lock ล็อคล้อซ้ายและขวาช่วยเพิ่มความสามารถในการลุย
และระบบ B-LSD หรือ Brake Limited Slip Differential ช่วยป้องกันการลื่นไถล วลาลุย โดยเมื่อล้อใดล้อหนึ่งหมุนฟรี หรือลื่นไถล ระบบจะตรวจจับแล้วทำการห้ามล้อที่ลื่นไถล เพื่อส่งแรงขับไปยังล้อที่เหลือ ทำให้สามารถผ่านอุปสรรคไปได้
นั่นทำให้การลุยในวันว่างของคุณแทบจะไร้ปัญหา ถ้าไม่เจอทางที่โหดหินจริงๆ อย่างทางโคลนตมหรือเลน ซึ่งปัญหาจะไปอยู่ที่ยางไม่มีแรงยึดเกาะพื้นผิวมากกว่า ระบบส่งกำลังลงล้อไปไม่ได้ ซึ่งแบบนั้นต่อให้ระบบโคตรเทพก็ยากอยู่ดี
สรุป Nissan Terra สาวบ้านรู้ใจ..ครบเครื่องความเป็นรถครอบครัว
การขับบนทางออฟโรดจริงๆ ทำให้ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไม นิสสันถึงทำรถวิศวกรรมมาแบบนี้ ทุกอย่างบนโลกนี้มันมีเหตุผลกับสิ่งที่เป็น การเป็นนักทดสอบรีวิวรถ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพื่อบอกว่ารถคันนั้นดีไม่ดีอย่างไร ทั้งที่ทีมวิศวกรอาจทำรถมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่อีกคุณลักษณะ อันเป็นเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ เพียงแต่เรายังเข้าไม่ถึงจุดนั้น
หลังจากใช้ชีวิตกับ Nissan Terra ราวๆ 4 วัน รวมถึงการพามันไปออฟโรด เจ้าอเนกประสงค์จากกระบะค่ายนิสสัน ทำให้เราตระหนักความจริงของชีวิต ในการซื้อรถยนต์อเนกประสงค์แบบนี้สักคันว่าความจริงเราต้องการอะไรจากมัน??
คุณเคยถามก่อนซื้อรถไหม ว่า เราซื้ออเนกประสงค์ เครื่องแรง ความทันสมัยครบเครื่อง ออพชั่นล้นคัน มีทุกอย่างที่เลือกสรรยิ่งกว่า เซเว่นอีเลฟเว่น …. แต่เราอาจจะไม่เคยใช้ หรือไม่คิดจะใช้มันเลยด้วยซ้ำไป
เป้าหมายของนิสสันในการสร้าง Nissan Terra ชัดเจน คือการทำให้มันเป็นรถนั่งขนาดกลาง Nissan Patrol ย่อส่วน ในราคาคนในเอเซียมีโอกาสจับต้อง และถูกใจคนแถวนี้ ซึ่งไม่ได้ต้องการรถขนาดใหญ่นัก
การชูจุดเด่นเรื่องของการเป็นรถอเนกประสงค์สายลุย สำหรับผมถือว่ามาถูกทาง โดยเฉพาะจะได้ไม่ทับไลน์ระหว่างผลิตภัณฑ์ Nissan X Trail ซึ่งเป็นรถที่ขับดีอีกรุ่น
และหลังจากขับ ผมชอบหลายสิ่งในรถคันนี้ ไม่ว่าจะ ความสบายในการโดยสาร,ระบบกันสะเทือนซับแรงกระแทกดีมาก , การเก็บเสียงที่ดีในระดับที่น่าพอใจ และเครื่องยนต์ที่ขับได้ติดเท้ามาก ในทุกช่วงความเร็วที่ต้องการ
ถ้าคุณอยากทราบอัตราเร่งเจ้า Nissan Terra VL 4×4 ถ้าเหยียบมิด พี่บึ้ก 2 ตัน สามารถทะยาน 0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ย อยู่ที่ 11.00 วินาที เท่านั้น อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ชม. ได้ 8.33 วินาที ถือว่าค่อนข้างเร็วอยู่ แถมความเร็วปลายยังมากกว่าชาวบ้านเขาสักหน่อยที่ 190 ก.ม./ช.ม. (ส่วนใหญ่จะได้ไม่เกิน 185 ก.ม./ช.ม.)
อย่างไรก็ดี Nissan Terra ยังไม่สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว โดยเฉพาะชุดเกียร์ 7 สปีด ควรจะต้องอัพเดทโปรแกรมเกียร์ในอนาคตให้ฉลาดพอจะช่วยตบลงบ้างในเส้นทางลงเขา แทนที่จะรอคนขับเข้าโหมด M เลือกเกียร์เอง เนื่องจากรถมีน้ำหนักเปล่า 2 ตัน ทำให้อัตราเร่งเวลาลงทางชันค่อนข้างมากกว่ารถที่มีน้ำหนักน้อยกว่า ส่งผลต้องใช้เบรกมากกว่าปกติ จนอาจทำให้เบรกไหม้ได้ (ยิ่งเบรกหลังยังเป็นดรัมมีโอกาสสูงกว่าดิสก์เบรก 4 ล้อ) คงดีถ้าได้เครื่องยนต์และเกียร์มาช่วยบ้าง
ส่วนเรื่องพวงมาลัย สำหรับผมถือว่าสมน้ำสมเนื้อไม่ได้แย่จนรู้สึกไม่เอาอ่าว อย่างที่อาจจะมีคนบอกคุณว่า พวงมาลัยเจ้าเทอร์ร่า เหมือนขับรถยุคเก่า … ใช่เขาพูดถูกต้อง แต่เหตุผลคือ เพื่อความสบายในการขับขี่โดยเฉพาะถ้าขับขี่เดินทางไกลเป็นเวลานานมันไม่สนุกนักหรอกกับ การต้องมานั่งคัดซ้ายคัดขวาเล็กน้อยต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะเวลาเจอกระแทกหลุมเจอถนนปะตามต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ยิ่งในเวลาคุณไปออฟโรดคุณจะรักเลยพวงมาลัยแบบนี้ มันจะไม่แกว่งไกวมากมาย ไปอย่างแน่วแน่มั่นคง
ใช่!! เวลาขับบนถนนมันจะไม่คม มุดไม่มันส์ หากเวลาบังคับทิศทางเช่นเปลี่ยนเลน รถไม่เหวี่ยงอย่างรุนแรงจนคนนั่งอาจมองค้อนคุณระหว่างเมามันส์สนุกสนานหลังพวงมาลัย
ถ้าให้ผมพูดมันเป็นรถที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะแบบแอบสุขุม เหมือนนักซิ่งรุ่นใหญ่เซียนขับรถที่มีความนิ่งในตัว ไม่โหวกเหวกโวยวายห้าวเป้งไปวันๆ เป็นรถที่ขับสบายก็ได้ รีดสมรรถนะในการยามเร่งรีบก็ดี
เรื่องความปลอดภัยก็ครบเครื่อง ทั้งระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง มันมาพร้อมระบบเตือนการหลุดเลน รวมถึงยังมีระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง เรื่องการช่วยเหลือในการขับขี่มีระบบกล้องรอบคัน 360 องศา ช่วยดูเป็นหูเป็นตาในยามจอดรถ เข้าออกที่แคบ รวมถึง ถ้าคุณไปออฟโรดคนเดียวไม่มีเพื่อช่วยดูไลน์ กล้องตัวนี้ก็เป็นประโยชน์มากๆ
ออพชั่นหนึ่งที่จะไม่พูดถึงก็ดูจะแปลกสักหน่อย และผมว่ามันดีเป็นการส่วนตัว คือ Intelligent Rear View Miror กระจกมองหลังอัจฉริยะ ใช้ได้ดี เวลาคุณมีของหรือคนเต็มรถ โดยใช้กล้องมองหลังแทนการใช้กระจกเงาสะท้อน ความละเอียดชุดกล้องถือว่าคมชัด จุดบอดน้อยกว่ากระจก และยังตัดแสงอัตโนมัติได้อีกต่างหาก เป็นของเล่นที่ค่อนข้างมีประโยชน์มาก และใช้บ่อยจนติดใจ
ผมคุยกับนัท เราจะทำอย่างไรให้คนอ่านเข้าใจง่าย
เราสองคน ลงความเห็นว่าน่าจะเปรียบเป็นผู้หญิงสักคน
Nissan Terra ก็เปรียบเหมือนสาวใหญ่หน้าตาบ้านๆ มากประสบการณ์ พร้อมไปกับคุณทุกที่ทุกเวลา ทุกหนแห่ง เธอเป็นนักดูแลตัวยง แต่ไม่ถึงเจ้ากี้เจ้าการทุกอย่างในชีวิตคุณ อาจไม่ใช่คนสวยเพียบพร้อม ต้องการเมคอัพและเสื้อผ้าดีๆสักหน่อย
หากกลับเข้าใจคุณในทุกอารมณ์ความต้องการ ไม่ว่าจะเร่งรีบอารมณ์ร้อน ยามชิวอยากใช้เวลาสุนทรีย์อยากใช้เวลาด้วยนานๆ หรือในวันลำบากของชีวิต เธอเป็นผู้หญิงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณได้เสมอ เป็นคนมีความรู้ ชอบเทคโนโลยีบ้างตามยุคสมัย แต่ไม่มากโอเวอร์ จนทุกอย่างต้องทันสมัยล้ำใครที่สุดในหมู่บ้าน
…ถ้ามีคนแบบนี้จริงๆ ผมว่าเป็น คนที่คุณอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เธออาจไม่ได้หน้าตานางฟ้า แต่อาจเป็นแม่ของลูกที่ดี …ก็ได้
Nissan Terra เป็นรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว บางทีถ้าเรามองย้อนกลับมายังโจทย์การซื้อรถ เรามองหาอะไรในรถแบบนี้
รถที่ขับซิ่งเร็วตามต้องการ หรือรถที่ขับสบายใช้เวลาพูดคุยกับคนที่รัก แล้วเดินไปร่วมกัน
รถที่เข้าโค้งเป็นเยี่ยม ไม่มีใครแซงคุณในโค้งได้ หรือรถที่เข้าโค้งดีพอสมควร แล้วนั่งสบายไปพร้อมกัน
รถที่มุดมันส์สุดขั้ว หรือ รถที่ผ่อนคลายในการเดินทาง
เหรียญมีสองด้าน และความจริงมี 3 ด้านเสมอ มันไม่ผิดที่เราจะเลือกรถที่เหมาะกับเรา แต่ถ้าคุณกำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ขับสบายใช้เวลากับครอบครัววันว่าง อาจมีออฟโรดบ้างเปิดประสบการณ์ใหม่ของคุณและภรรยา เจ้า Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า) เป็นตัวเลือกที่ผมว่าไม่ควรมองข้าม และมันมีดีกว่าที่คิด แม้ไม่ใช่ในแง่ของออพชั่นตัวรถ
Nissan terra – อีกเสียงจากแอดมินนัท
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนรถพีพีวีอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งคันโต ผมไม่ชอบรถคันใหญ่โย่งที่รู้อยู่แล้วว่าขับยังไงก็ไม่สบายเท่ารถเก๋ง และหากเป็นไปได้ผมจะปฏิเสธรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ด้วยเหตุผลมลพิษอันร้ายกาจที่มันปล่อยมากกว่ารถเครื่องเบนซิน ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบรถชนิดนี้เลยก็ว่าได้ แต่ต่อจากนี้ไปจะเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกจากคนที่ไม่ได้ชอบ Nissan Terra ตั้งแต่แรกเริ่ม
เวลาจะซื้อรถมาใช้ซักคัน อันดับแรกก็ต้องรูปร่างความสวยงามให้ถูกใจต้องตา ซึ่งตอนที่มองเจ้า Nissan Terra นี่ไม่ได้รู้สึกว้าว สวย อะไรสักนิด แต่ด้วยหน้าที่ของนักทดสอบจึงต้องคว้ากุญแจแล้วกระโดดขึ้นไปขับมัน… โอ้โห ตอนขึ้นมาบนรถนี่ผมคิดทันทีว่านี่นิสสันไม่ลงทุนเปลี่ยนภายในห้องโดยสารหน่อยหรือไง ยกของกระบะ Navara มาทั้งหมด พวงมาลัยมาสไตล์รถเก๋ง วงเล็ก ดูทรวดทรงไม่บึกบึนแข็งแกร่ง ก็เอาเถอะบางทีของดีมันอาจไม่ได้อยู่ที่หน้าตากับภายใน
เท่าๆ ที่อ่านรายละเอียดของรถมาพอสมควร ดูเหมือนว่าเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 4 สูบเรียง ขนาด 2.3 ลิตร จะเป็นหมัดเด็ดไม้ตายสำคัญไว้สู้กับคู่แข่ง แม้กำลัง 190 แรงม้า กับแรงบิด 450 นิวตันเมตร อาจด้อยกว่าเครื่องโบคู่ของ Ford Everest อยู่ 20 ตัว แถมแรงบิดต่ำกว่า 50 นิวตันเมตร แต่พอถึงคราวบู๊ก็ลุยพุ่งแหลกลานกว่าเห็นๆ
เอาเป็นว่าระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่ยกมาจาก Navara ทำงานได้ลื่นไหล เปลี่ยนนุ่ม ส่งกำลังจากเครื่องสู่ล้อได้ติดส้นเท้าดีเหลือเกิน ผมกล้าพูดเลยว่ามันให้ความสนุกแก่ผู้ชื่นชอบการขับรถได้เต็มที่ เพราะกดไปเท่าไหร่กำลังเครื่องก็พุ่งตามเท้ามาเท่านั้น ครั้นกดคันเร่งมิดพรวดเพื่อเร่งแซง ขอบอกว่าแซ่บถูกใจอย่างที่สุด เพราะเครื่องยนต์กับเกียร์ทำงานสอดประสานกันชนิดลากรอบชนขีดแดงสุดทุกเกียร์ ผมกล้าพูดเลยว่ากำลังเครื่องและสมรรถนะเกียร์ลูกนี้ สอบผ่านใจคนที่ไม่ชอบอารมณ์เวลาขับพีพีวีได้อยู่หมัด
ถัดมาคุยกันเรื่องพวงมาลัยที่หลายคนเขาบอกว่า เห้ย!! ทำไมมันหนักที่ความเร็วต่ำ เบาที่ความเร็วสูง แถมระยะฟรีหน่วงยังมากอีก นี่ลื้อเป็นรถกระบะเก่าๆ หรือไง… ครับ ตอนแรกผมก็คิดแนวนั้นแหละ คือพวงมาลัยของ Terra นี่มันเป็นแนวกระบะ Isuzu TFR จริงๆ แหละ แต่มันไม่ได้เบาโหวงจนห่วยขนาดนั้น อาการดิ้นไปมาของพวงมาลัยเมื่อเจอทางขรุขระยังมีอยู่ แต่ตัวรถยังวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่เอนเอียง
ยิ่งขับยิ่งเข้าใจว่าทำไมวิศวกรนิสสันจึงเซ็ตพวงมาลัยของ Terra มาแบบนี้ อย่างแรกเลยช่วยให้การขับขี่ทางไกลลดความตึงเครียดของคนขับ ที่หากฟรีน้อยหรือคมเกินไปจะต้องคอยคัดประคองพวงมาลัยให้นิ่ง ต่อมาเป็นเรื่องช่วงล่างที่ปรับตั้งค่าได้ถูกใจคอรถเก๋งเสียเหลือเกิน เพราะมันทั้งเก็บอาการสะเทือนในความเร็วต่ำจนถึงกลางได้ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อขับเร็วๆ มันยังคงนิ่ง แม้จะหักเลี้ยวเปลี่ยนเลนรุนแรง หรือจะเหินคอสะพานลงมา ตัวรถสามารถเก็บอาการเด้งโยนได้อยู่หมัด ยกเว้นช่วงเข้าโค้งที่จะโยนซักหน่อยถ้าใส่มาเร็วโดยไม่ได้เบรก จุดนี้เป็นเรื่องปกติของรถพีพีวีอยู่แล้ว เราจึงไม่ได้ซีเรียสแต่ประการใด ทีนี้คิดตามง่ายๆ นะ พวงมาลัยหน่วงฟรีเยอะแถมดิ้นง่าย แต่ยังวิ่งตรงโดนไม่ต้องมาจับแน่น + ช่วงล่างที่ดีงามทุกย่านความเร็ว เก็บอาการเด้งโยนได้รวดเร็ว แม้จะจัมพ์เนิน หรือมุดไปตามทางด่วน ผลลัพธ์ = ขับในเมืองอาจเมื่อยเพราะพวงมาลัยหนัก แต่พอออกต่างจังหวัดนี่ขอบอกว่าสวรรค์ เพราะคนในครอบครัวที่นั่งไปด้วยจะรู้สึกสบายที่สุด
จุดนี้แหละผมจึงชอบความที่ Nissan Terra สามารถปรุงรสชาติที่อาจเค็มบ้างในบางจุด หรือหวานเยอะตรงเรื่องนี้ แต่พอทำเสร็จแล้วก็ได้ของที่หน้าตาบ้านๆ ทว่าเมื่อกินไปแล้วรู้สึกเหมือนหยุดสวาปามไม่ได้เลย
[ngg src=”galleries” ids=”863″ display=”basic_thumbnail”]