การมาถึงของ All-New Suzuki Ertiga 2019 เจนเนเรชั่นที่ 2 รถมินิเอ็มพีวีจากแดนอิเหนาที่พร้อมมาประชันขันแข่งกับ Mitsubishi Xpander วันนี้เราได้ลองพิสูจน์จนพบแล้วว่า Ertiga มีดีจนน่าประทับใจ หากสนใจว่าเป็นอย่างไรเชิญรับชม
ช่วงที่ผ่านมาคนไทยอาจไม่ได้สนใจรถมินิเอ็มพีวีมากนัก เพราะตัวเลือกรถยนต์ยังมีจำนวนน้อยไม่ตรงต่อความต้องการ ทว่าตั้งแต่ปีที่แล้วตลาดรถครอบครัวก็ได้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง เพราะการมาของ Mitsubishi Xpander เปลี่ยนความคิดคนไทยไปหลายอย่าง และนั่นเองก็เป็นจังหวะที่พอเหมาะของซูซูกิ ในการเปิดตัว All-New Suzuki Ertiga 2019 โฉมใหม่เจนฯ 2 เพื่อมาต่อกรกับรถ ที่หลายคนบอกว่าจะสู้ได้เหรอ?
คำถามนั้น… ตัวผู้เขียนเองก็ตั้งธงไว้ในใจก่อนจะมาทริปทดสอบ Suzuki Ertiga ใหม่ ที่จังหวัดเชียงรายเช่นกัน เพราะก่อนหน้าได้มีโอกาสขับทดสอบคู่แข่งตัวหลักของรถรุ่นนี้ นั่นก็คือ Mitsubishi Xpander มาหมาดๆ โดยหากดูแค่ภายนอกก็คงมองว่า Ertiga มาแนวทางครอบครัวที่ดูเรียบและมีระดับ ต่างจาก Xpander ที่ชัดเจนว่ามุ่งไปทางสปอร์ตล้ำสมัยต่างกันสุดขั้ว
แต่… หลังจากผมได้ขับทดสอบเจ้า Ertiga ใหม่จนเสร็จสิ้น ข้อสงสัยทั้งหมดที่ผมมีต่อรถมินิเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ก็มลายหายสิ้นไป พร้อมเข้าใจคำนิยามตอนเปิดตัวของรถรุ่นนี้ ที่ระบุไว้ว่า “Unlock your life – ปลอดล็อกอีกด้านของชีวิต” ได้แบบถึงเนื้อแท้
ก่อนจะไปพบกับเนื้อหาการทดสอบรถแบบจริงจัง เราขอสรุปความเปลี่ยนแปลงของ Suzuki Ertiga รุ่นใหม่ที่เพิ่มมาจากตัวเก่า เริ่มจากการใช้โครงสร้างตัวถังใหม่ HEARTEC ที่ช่วยให้รถเบาขึ้น แกร่งขึ้น (เบากว่า Xpander 105 กก.) รวมถึงขนาดมิติตัวรถที่ความกว้าง ยาว และสูง เพิ่มขึ้นทุกสัดส่วน ยกเว้นแต่ระยะฐานล้อเท่าเดิม ทั้งนี้ ความสูงจากพื้นถนนเป็นเรื่องเดียวที่ลดลงเหลือ 180 มม. เตี้ยกว่าคู่แข่งคันใหม่ 20 มม.
ประเด็นรูปลักษณ์ภายนอกนั้น Ertiga ใหม่ ยังยึดแนวทางรถครอบครัวที่มีระดับจับต้องได้เช่นเดิม โดยมอบกระจังหน้าที่มีซี่โครเมียมสร้างความหรูหรา พร้อมโคมไฟโปรเจ็คเตอร์ฮาโลเจน ส่วนล้ออัลลอยเป็นไซส์ 16 นิ้วเหมือนรุ่นเก่า ด้านหลังให้โคมไฟเบรกกับไฟหรี่แอลอีดี ที่ดูทรงแล้วคล้ายกับ Honda CRV หรือ Volvo ตระกูล XC ทั้งหลาย
ถัดมากันถึงประเด็นความสบายในการโดยสาร Ertiga ใหม่กันบ้าง ขอบอกว่าครั้งนี้ซูซูกิทำการบ้านมาหนักมาก เพราะพวกเขาหมายมั่นให้รถคันนี้แข่งขันหรืออาจถึงขั้น เอาชนะคู่แข่งในตลาดอันดุเดือดที่อินโดนีเซียได้
โดยตำแหน่งเบาะนั่งแถว 2 มีจุดเด่นมากมาย อาทิ การปรับเลื่อนเบาะเดินหน้าถอยหลัง เพื่อช่วยให้คนนั่งเบาะแถว 3 มีพื้นที่วางขามากขึ้น หรือจะปรับเบาะแถว 2 ให้เอนนอนก็ทำได้องศาเกือบราบ ยิ่งไปกว่านั้น Ertiga ใหม่ได้ติดตั้งช่องลมแอร์เหนือเพดานให้แก่คนนั่งเบาะแถว 2 ที่ปรับความแรงได้ 4 ระดับ แถมยังมีชุดคอยล์เย็นแอร์แยกส่วนจากด้านหน้ารถอีกต่างหาก
อีกคำถามที่คนส่วนใหญ่มักสงสัยเวลาเรารีวิวรถครอบครัว 7 ที่นั่ง เบาะ 3 แถว อย่างเรื่องการเข้าไปนั่งทำได้สะดวกหรือไม่ ตอบได้เลยว่าสะดวกกว่าเดิมชัดเจน เพราะประตูคู่หลังถูกออกแบบให้เปิดได้กว้างมากขึ้น การเข้าไปนั่งเบาแถว 3 ก็แค่ดึงคันโยกที่ติดกับเบาะแถว 2 แล้วเลื่อนฐานเบาะไปด้านหน้า
เมื่อเข้ามานั่งที่เบาะแถว 3 แล้ว คุณท็อป จากเว็บไซต์ Autodeft เพื่อนของผู้เขียน ที่มีส่วนสูงราว 176 ซม. สามารถนั่งได้แบบศีรษะไม่ชนเพดาน ตำแหน่งการวางขายังมีที่ว่างให้ผ่อนคลาย หากต้องโดยสาร Ertiga ใหม่ในการเดินทางไกลได้อย่างดี
นอกเหนือจากห้องโดยสารอันกว้างขวาง ตั้งแต่เบาะแถว 2 ไปจนถึงเบาะแถว 3 แล้ว บรรดาฟีเจอร์อำนวยความสะดวก เช่น ที่วางแก้วน้ำก็มีให้มาจำนวนมาก คุณนำเอาขวดน้ำขนาด 600 มล. ใส่ลงไปได้แบบพอดี ส่วนขวดขนาด 1,000 มล. ก็ใส่ไว้ตรงข้างประตูหน้ากับข้างประตูหลังได้อีกด้วย
ต่อกันด้วยเรื่องห้องเก็บสัมภาระกันบ้าง บางคนสงสัยว่าเอ๊ะ ถ้าคนนั่งครบ 7 ที่นั่ง แล้วที่เก็บของท้ายรถยังพอจะใส่อะไรได้อยู่หรือไม่ คำตอบให้ดูเอาจากรูปภาพ… เรียกว่าคุณสามารถใส่กระเดินทางไซส์ 24 นิ้ว ประมาณ 2-3 ใบวางแนวนอนซ้อนกันขึ้นไปได้สบาย ขณะเดียวกัน ยังมีช่องเก็บของใต้พื้นห้องสัมภาระ ไว้สำหรับใส่เครื่องมือประจำรถ หรืออุปกรณ์ฉุกเฉินต่างๆ
เอาล่ะดูเรื่องสะดวกสบายภายในห้องโดยสารไปแบบละเอียดแล้ว ขอข้ามเข้าสู่ส่วนสำคัญไม่แพ้กัน อย่างประเด็นการขับขี่ที่หลายคนถามใถ่เข้ามา ว่าหน้าตาที่ออกแนวเรียบดูมีระดับของ Ertiga จะส่งผลถึงสมรรถนะในการโลดแล่นบนถนนหรือเปล่า…
โอ้โห!! อารมณ์ขับสนุกเกิดขึ้นทันทีที่เราเริ่มหมุนพวงมาลัยกับเหยียบคันเร่งออกรถ ที่กล่าวแบบนั้นเพราะสัมผัสได้ว่าพวงมาลัยหมุนได้เบาคล่องมือ คล้ายกับตอนขับ Suzuki Swift อีโคคาร์คันน้อยที่ใช้โครงสร้าง HEARTEC เหมือนกัน
ในความเบาคล่องมือก็แฝงไปด้วยความคมพอเหมาะพอดี ที่ช่วยให้เราขับลัดเลาะเกาะไปกับกระแสการจราจรที่คับคั่งด้วยรถได้คล่องแคล่ว พอยิ่งขับเร็วขึ้นเท่าไหร่ พวงมาลัยของ Ertiga ก็มีความหนืดหน่วงมือตึงหนักขึ้นจนรู้สึกได้ชัดเจน ขณะเดียวกัน เมื่อขับด้วยความเร็วเดินทางมันก็จะตั้งตรงไม่มีอาการเอนไหว แค่จับประคองไว้ก็เพียงพอให้รู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องคอยคัดพวงมาลัยไปมาแก้อาการลมพัดขวางรถแต่อย่างใด
จุดนี้ทำให้ Ertiga มีการบังคับควบคุมที่เหนือกว่า Xpander เพราะไม่ใช่แค่ความคล่องคมในความเร็วต่ำ หรือระยะหน่วงฟรีตั้งแตงแน่วแน่ที่ความเร็วเดินทางเท่านั้น หากแต่การขับที่ความเร็วสูงมันก็มีความหนักและหนืดกำลังดี ช่วยให้การขับไม่รู้สึกเกร็งหรือเหนื่อยแต่อย่างใด
ต่อมาเป็นเรื่องขุมพลังที่ยกเครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.4 ลิตร เดิมออก แล้วแทนที่ด้วยเครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร K15B ที่ให้ 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที งานนี้ยังคงคบหาเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แล้วส่งกำลังไปล้อคู่หน้าเช่นเดิม
ครั้งแรกที่เริ่มกดคันเร่งออกตัว ก็รู้ทันทีว่า Ertiga ใหม่มันมีของดีแน่นอน เพราะช่วง 0-60 กม./ชม. คันเร่งมีความไวพละกำลังหลั่งไหลตามปลายเท้ากด ใครขับรถยนต์นั่งเครื่องพันห้ามาก่อนขอบอกว่ารู้สึกเหมือนกันเป๊ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะกดจมคันเร่งแล้วรถคลานตัวออก ครั้งนี้ซูซูกิเขารู้ว่าลูกค้าคนไทยชอบรู้สึกว่ารถแรงตั้งแต่ออกตัว
เอาล่ะพอความเร็วเริ่มทะลุหลัก 100 กม./ชม. เราได้จับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้คร่าวๆ ราว 12.5-12.8 วินาที ถ้าเอาไปเทียบกับ Xpander รายนั้นเขาได้เลข 14 วินาที งานนี้ผมยิ้มกริ่มทันที เพราะว่าเจ้า Ertiga ใหม่สร้างเซอร์ไพรซ์ให้ฉงนกันอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่ความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึงเลขความเร็ว 3 หลัก ที่สร้างความประทับใจ เรายังชอบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่ทำงานได้ราบรื่นนุ่มนวลในทุกจังหวะความเร็ว อย่างไรก็ตาม คันเร่งที่ไวกับเกียร์ลูกนี้ มันค่อนข้างจะทำงานเอาใจลูกค้าใจร้อนมาไปนิด เพราะเวลาที่กดคันเร่งหนักกว่าปกตินิดนึง เกียร์จะตัดลงเพื่อรีดกำลังทันที ทั้งๆ ที่เราอาจแค่ต้องการเร่งแบบเนิบๆ ค่อยๆ เพิ่มความเร็วแค่นั้นเอง
เราขอสรุปประเด็นอัตราเร่งไว้สั้นๆ นิยามให้แก่ Ertiga ใหม่ดังนี้ ว่ามันเป็นรถครอบครัว 7 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 7 แสนบาท ที่ขับได้แซ่บ สนุก และทำงานถวายหัวเจ้าของทุกย่านความเร็ว คือถ้าจับคุณผูกผ้าปิดตาแล้วไปนั่ง จากนั้นค่อยเปิดผ้าแล้วให้ขับตรงไปอย่างเดียว เชื่อเถอะคุณจะไม่คิดว่ามันคือรถมินิเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง
ส่วนคำถามที่ว่า Ertiga บริโภคน้ำมันเท่านั้นไหร่ จากที่ดูบนแผงหน้าปัดโชว์เฉลี่ยอยู่ 12.2 กม./ลิตร แต่… ที่มันขึ้นแบบนั้นเราขับแบบเหนือมนุษย์ กดคันเร่งมิดออกทุกไฟแดง เหยียบแซงรถแบบมิดเท่าเกือบทุกครั้ง ถ้าให้เดาตัวเลขแบบที่คนปกติเขาขับกัน น่าจะอยู่ราว 14-15 กม./ลิตร
ความดีงามของอัตราเร่งกับความประหยัดน้ำมันใน Suzuki Ertiga ใหม่ เรายกยอดความดีทั้งหมดให้กับน้ำหนักรถที่หายไปถึง 50 กก. เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า
มาถึงเรื่องช่วงล่างกันบ้าง คือจะหาว่าเราอวย Ertiga ใหม่ก็ได้นะ แต่จากการขับขี่จริงมันทำให้เราชอบใจรถคันนี้มากขึ้นไปอีก เนื่องด้วยการเก็บแรงสะเทือนในความเร็วต่ำที่ดีพอๆ กับ Xpander โดยเจ้านี่จะออกแนวนุ่มนวลกว่า ไม่เหมือนรถตราเพชรหน้าทันสมัยที่ให้อารมณ์แน่นๆ ตึงๆ
ทั้งนี้ การขับขี่ที่ความเร็วเดินทางปกติ Ertiga มอบความมั่นคงได้ดีงาม ไม่มีอาการโคลงตัวหรือยวบยาบมากนักแม้จะวิ่งที่ความเร็วสูง หรือขณะที่แล่นผ่านถนนขรุขระ ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าโค้งก็จัดว่ามีเสถียรภาพการทรงตัวดีไม่ต่างจากคู่แข่ง กล่าวคือ คุณสามารถขับรถคันนี้ได้มั่นใจทุกย่านความเร็ว แถมความสบายก็มอบให้เต็มที่ (ถ้านั่งกันเยอะๆ ความรู้สึกอาจต่างจากตอนที่ขับทดสอบที่นั่งเพียง 2 คน)
อย่างไรก็ดี ข้อด้อยของ Ertiga เวลาขับขี่บนเส้นทางคดโค้งก็มีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีสาเหตุจากช่วงล่างหรือสปริงโช้ค หากมาจากเรื่องปีกเบาะนั่งคู่หน้าที่นิ่มยวบ เพราะในรถคันอื่นปีกเบาะซ้ายขวาจะมีความแข็งคงรูปโอบกระชับตัวผู้ขับขี่กับคนนั่งข้าง
แต่บน Ertiga เบาะคู่หน้าไม่สามารถโอบสรีระของคนทั้งสองให้อยู่นิ่ง เวลาที่รถแล่นเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้ดีพอ เราจึงรู้สึกถึงอาการเมารถจากการเคลื่อนตัวไปมาอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้เองก็ได้แจ้งกลับไปทางซูซูกิแล้วว่าให้ช่วยแก้ไขมาด้วย ในช่วงแรกหากใครได้รถไปก็พยายามอย่าเข้าโค้งแรงนัก เพราะภรรยาที่นั่งข้างคุณอาจจะเมารถได้โดยไม่รู้ตัว
ส่วนของการเก็บเสียงรบกวนนั้น Ertiga ก็พิสูจน์ให้เราเห็นว่า วิศวกรซูซูกิคิดถูกที่ใช้โครงสร้าง HEARTEC นี้จริงๆ ด้วยการที่จุดเชื่อมกับช่องโหว่วในโครงสร้างลดลง กระแสลมกับเสียงบิดตัวต่างๆ ก็ถูกกลบลบน้อยไปอีกด้วย
ผลลัพธ์หลังจากขับมินิเอ็มพีวีคันใหม่นี้ เราบอกได้เลยว่าเสียงรบกวนจากถนนแทบไม่ได้ยินเลย แม้จะใช้ยางประหยัดน้ำมันเกรดปกติก็คงความเงียบได้จนถึงช่วง 100 กม./ชม. ส่วนเสียงลมที่คาดไว้ตอนแรกว่า น่าจะดังมาจากกระจกมองข้าง กลับกลายเป็นว่าเงียบเชียบจนถึงความเร็ว 120 กม./ชม. ซะอย่างงั้น
คือเราแปลกใจมากว่าพวกเขาทำให้ Ertiga ใหม่เงียบขึ้นถึงขนาดนี้ได้ด้วยกลอะไร จากที่ถามวิศวกรเขาบอกว่าได้บุวัสดุซับเสียงเป็นจำนวนมากตามบริเวณต่างๆ งานนี้กล้าพูดได้ว่ามันเงียบกว่า Xpander อยู่ระดับหนึ่ง
แต่ในความเงียบของเสียงถนนกับเสียงลมไหลผ่านรถ เสียงที่กลับดึงขึ้นมาชัดเจนเป็นเสียงเครื่องยนต์เวลาเร่งคำรามแทน เพราะในเวลาที่กดคันเร่งแซงรถคันหน้า เสียงหวานๆ ก็ดังขึ้นมากลบทุกเสียงไปจนหมดสิ้น เราก็พูดขำๆ ว่า Ertiga ใหม่นี่ดีเนอะ เสียงเครื่องเวลาเร่งดังกว่าเสียงลมกับเสียงถนนเฉยเลย
สำหรับความปลอดภัยนั้น มีถุงลมนิรภัย 2 ใบ ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน ระบบป้องกันการลื่นไถล ขณะที่ระบบอำนวยความสะดวกให้กุญแจ Keyless กับปุ่มสตาร์ทมา บนพวงมาลัยมีปุ่มปรับเครื่องเสียงกับบลูทูธ พร้อมด้วยเครื่องเสียง 4 ลำโพง ที่ให้ความไพเราะดีเกินกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก
สรุป!! ด้วยราคา 695,000 บาท ของ Suzuki Ertiga 1.5 GX (รุ่นสูงสุด) เทียบกับข้าวของที่ให้มา พร้อมๆ ประเด็นสมรรถนะการขับขี่ที่แสนจะมีชีวิตชีวา ขัดกับหน้าตารถพ่อบ้านแม่บ้านไว้รับส่งลูกไปโรงเรียน รวมถึงความกว้างขวางของห้องโดยสาร และการบังคับควบคุมรวมถึงช่วงล่างที่ดีไม่แพ้ใคร เรากล้าเชื้อเชิญให้ผู้อ่านไปลองขับได้เลย แล้วคุณจะรู้สึกชอบแบบที่เราอธิบายให้ทุกท่านอ่าน
ขอบคุณ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ที่เชิญร่วมทดสอบรถมินิเอ็มพีวี Suzuki Ertiga ใหม่ มา ณ โอกาสนี้
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg src=”galleries” ids=”937″ display=”basic_thumbnail”]