ช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์ชั้นนำต่างเริ่มขายรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ลูกค้าได้จับจอง แต่ดูเหมือนว่านวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นที่ขยาดของคนทั่วไป อาจจะด้วยความไม่รู้ หรือไม่เข้าใจในการเดินทางอนาคต
รายงานจาก Harris Poll เพิ่งทำการสำรวจในฐานะของ Volvo ประเทศ อเมริกา เผยเรื่องที่น่าตกใจว่า แม้แต่คนอเมริกาเองก็ยังไม่ซื้อ โดยจากการสำรวจคนขับรถยนต์เป็นประจำ จำนวน 1,510 คน เผยว่า พวกเขามีความเป็นห่วงในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 2 เรื่อง ได้แก่ ระยะทางในการขับขี่ (58%) และจุดชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม (49%)
เมื่อถามถึงแนวทางแก้ไขให้พวกเขาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น พบว่า ปัจจัยอันดับหนึ่ง คือชุดชาร์จไฟฟ้าที่มีความคลอบคลุม คิดเป็นร้อยละ 61 ของการสำรวจ ตามมาด้วย ปัจจัยทางด้านราคาที่จะต้องมีราคาขายใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 57 และ ปัจจัยทางด้านการสนับสนุนเงินหรือสิทธิพิเศษจากรัฐบาลคิดเป็นร้อยละ 41 เท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจในรายงานชิ้นนี้ คือนอกจากสำรวจกับคนขับทั่วไปแล้ว ยังมีการสำรวจกับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน พบว่า กว่าร้อยละ 65 เคยคิดว่าระยะทางที่จำกัดของรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะเป็นปัญหาในการใช้งาน แต่เมื่อเริ่มใช้ 2-3 เดือน ก็คลายกังวลต่อปัญหาดังกล่าว
ในขณะที่ร้อยละ 51 ของผู้ใช้กล่าวว่า โดยปกติ พวกเขาชาร์จไฟรถที่บ้านมากกว่าในที่สาธารณะ เนื่องจากจุดชาร์จสาธารณะไม่สามารถวางใจได้ เป็นปัญาที่พูดถึงร้อยละ 61 พวกเขายังกล่าวอีกว่าจุดชาร์จไฟเร็ว หรือ Quick Charge ควรจะให้บริการที่ร้านกาแฟ และฟิตเนส ซึ่งพวกเขาใช้เวลานานในการทำกิจการในสถานที่ดังกล่าว
เมื่อต่อข้อคำถามว่า พวกเขาชอบอะไรในรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับคำตอบสำคัญว่า พวกเขาชอบการไม่ต้องจ่ายน้ำมัน (60%) ไม่ต้องแวะปั้มน้ำมัน (44%) และชอบความเงียบของรถในระหว่างการขับขี่ (48%) ตลอดจนยังชอบที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราประหยัดน้ำมัน และยังสามารถเอารถไปขับเล่น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีค่าใช้จ่ายตามมาด้วย
นอกจากนี้พวกเขาเชื่ออย่างสุดใจว่า การขับรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมดีกว่า กระบวนการหมุนเวียนขยะ หรือ Recycle ถึงร้อยละ 49 ,เลิกใช้บิลกระดาษ ร้อยละ 48 และ ยังดีกว่าการพัฒนาบ้านอัจฉริยะในอนาคตถึงร้อยละ 44
แต่ท้ายสุดบทสรุปเมื่อกลับมาถามคนอเมริกัน ว่าพวกเขาจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ กว่าร้อยละ 74 ยอมรับว่า มันคือเทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่พวกเขายังไม่มีแผนจะซื้อ