บนท้องถนนทุกวันนี้มีปริมาณ Mazda 2 วิ่งเป็นจำนวนมาก ครองแชมป์ยอดขายรถยนต์นั่งซับคอมแพ็คไปเรียบร้อย แต่กว่าจะมีวันนี้เจ้าสองต้องพิสูจน์อะไรหลายอย่าง
ทุกคนคงรู้จักรถยนต์นั่งขนาดซับคอมแพ็ค หรือเรียกว่า B-Segment อย่าง Mazda 2 กันแน่นอน โดยรถคันย่อมรูปทรงโฉบเฉี่ยวปราดเปรียวคันนี้ ปัจจุบันก้าวมาถึงเจนเนเรชั่นที่ 2 ซึ่งทำยอดขายก้าวกระโดดจากเจนฯ ก่อนหน้าอย่างมีนัยยะ ว่าแต่สิ่งที่ทำให้มาสด้าประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง?
เอกลักษณ์และการขับขี่โดดเด่นจากรุ่นก่อน
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่มาสด้าสองเจนฯ แรกที่ขายในไทยเปิดตัว รูปลักษณ์ภายนอกและภายในของรถเล็กคันนี้มีความสปอร์ตเต็มอยู่ทุกอณูของรถ ขณะเดียวกัน ด้วยสโลแกน Zoom Zoom ที่มาสด้าเริ่มนำมาใช้บ่งบอกความพิเศษให้แก่รถของตน ก็เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างการจดจำต่อบรรดาลูกค้าหน้าใหม่ ที่กำลังมองหารถเล็กทรงเฉี่ยวและขับขี่ได้ดี
เหตุการณ์เปิดโอกาสให้ลูกค้าจดจำ
สมัยที่มาสด้าสองตัวแรกขายดีในไทยที่สุด อยู่ในช่วงปี พ.ศ.2554-2555 เพราะตอนนั้นประเทศเราเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ครอบคลุมหลายส่วนของชาติ รวมถึงบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางแถวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำให้คู่แข่งบางรายไม่สามารถส่งมอบรถได้ทัน
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่รัฐบาลสมัยนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เริ่มนโยบายรถคันแรกเพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโถค อันมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2555 จึงทำให้ลูกค้าหลายคนที่กลัวว่าจะตกขบวนรับสิทธิคืนภาษี แห่กันไปจอง Mazda 2 กันเป็นจำนวน
จากข้อมูลที่เราทราบมามีดีลเลอร์รายหนึ่งของมาสด้าที่ภูเก็ต เปิดเผยว่าพวกเขาสามารถขายรถยนต์ได้มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโชว์รูมมา ซึ่งรถรุ่นประวัติศาสตร์คันนั้นคือ มาสด้า 2 เพราะขายได้มากถึง 1,400 กว่านั้นภายในเดือนเดียว แต่ถ้าดูจากยอดขายทั่วประเทศในขณะนั้น ก็ต้องบอกว่ารวมๆ แล้วยอดพุ่งสูงมากกว่าช่วงปกติ
ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้ลูกค้าได้มีโอกาสใช้งานเจ้าสอง จนหลายคนเอ่ยปากชมว่าขับดีช่วงล่างประทับใจ อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกภายในก็ดูทันสมัยมีความวัยรุ่นสูง นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้มาสด้า 2 กับสโลแกน Zoom Zoom ในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายคนเข้าใจยิ่งขึ้น
เปิดหน้าใหม่วงการรถเล็ก ด้วยความพรีเมียม และเทคโนโลยีขั้นสูง
ด้วยความสำเร็จของเจ้าสองรุ่นแรกโฉมไทย โฉมสองกลับมาใหม่ด้วยความสปอร์ตเฉี่ยวหน้าตาทันสมัยที่ภายใน ส่วนภายในนี่เรียกว่ายกอารมณ์หรูสปอร์ตมีระดับมาใส่เต็มที่ ขึ้นแท่นรถซับคอมแพ็คที่มีห้องโดยสารคุณภาพสูงเบอร์หนึ่ง ด้วยการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง อาทิ หนังหุ้มตามส่วนต่างๆ ตะเข็บเย็บรอยสวย รวมถึงการออกแบบแผงแดชบอร์ด กับหน้าปัดเรือนไมล์ที่ผสานความคลาสสิกและทันสมัยไว้ด้วยกัน
โดยช่วงแรกที่มาสด้า 2 เปิดตัวมานั้น เอาแค่กระแสทางอินเทอร์เน็ตก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า สปอร์ต สวย ดูดี และภายในหรูกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าข้อด้อยเดิมประจำรุ่น เช่น พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังแคบ กับห้องเก็บสัมภาระจุดได้น้อยยังคงอยู่ แต่ลูกค้าหน้าใหม่ก็พร้อมที่จะซื้อหาสองสุดเท่มาใช้งาน
ยิ่งกว่านั้น มาสด้าจัดเป็นรถซับคอมแพ็ค B-Segment คันแรกที่มาพร้อมเครื่องดีเซลเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร SkyActiv-D ชูจุดเด่นเรื่องสมรรถนะความแรงในทุกย่านความเร็ว รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ประหยัดมันสูงสุดเหมือนรถยุโรปชั้นดี
ขณะเดียวกัน เครื่องเบนซิน 1.5 ลิตรเดิมในรุ่นเก่า ที่ลูกค้าบ่นว่ามันไม่แรงไม่ประหยัดน้ำมันเหมือนคำคุย Zoom Zoom ทางมาสด้าเองจึงงัดไม้เด็ดนำขุมพลังเบนซิน 1.3 ลิตร SkyActiv-G ที่ปัจจุบันมีการพิสูจน์จากสื่อหลายสำนักแล้วว่า มันทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้มากเกิน 20 กม./ลิตร แต่ว่าความแรงใกล้เคียงกัน
ต่อมากับปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนหันมาคบหามาสด้า 2 คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาจำหน่าย ที่มาสด้าส่งรถรุ่นนี้เข้าโครงการอีโคคาร์เฟส 2 เป็นรายแรก ได้สิทธิอัตราภาษีพิเศษจนสามารถทำราคาสุดแสนประทับใจ ตัวเบนซินเริ่มต้น 5.3-6.7 แสนบาท ส่วนรุ่นเครื่องดีเซลก็ทำราคาหวือหวา เริ่มที่ 6.8-7.89 แสนบาท
ยิ่งไปกว่าความสวยงาม ห้องโดยสารมีระดับ เครื่องแรง และราคาน่าสนใจ ประเด็นการขับขี่ก็คือส่วนที่ช่วยให้ลูกค้าหลายคนตาลุกวาวเมื่อได้ขับเจ้าสองน้องน้อย เพราะอารมณ์ความรู้สึกในการบังคับควบคุม ระยะเบรก การตอบสนองของช่วงล่าง การเก็บเสียงรบกวน เหล่านี้ที่กล่าวมามาสด้า 2 ทำได้ดีกว่าคู่แข่งระดับเดียวกันชัดเจนมาก
ผลลัพธ์ = Mazda 2 เบอร์หนึ่งรถซับคอมแพ็ค
กล้าพูดได้เลยว่า มาสด้า 2 ทำให้ยอดขายรวมของมาสด้า ไทย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ถึง มีนาคม 2562 ทำได้ 70,468 คัน พุ่งขึ้นต่อเนื่องสองปีติดคิดเป็น 25% โดยยอดของมาสด้า 2 เพียงอย่างเดียวก็ทำได้มากถึง 48,119 คัน โตขึ้น 36% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ ความสำเร็จของมาสด้าถูกตอกย้ำอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะในงาน Bangkok International Motor Show 2019 ครั้งที่ 40 พวกเขาครองอันดับ 2 ของบริษัทรถที่มียอดจองสูงสุดภายในงาน มีจำนวนทั้งสิ้น 5,211 คัน โดยพระเอกยังเป็นเจ้าสองน้องเล็ก ที่มีคนจองมากถึง 3,461 คัน
จากข้อมูลที่เราเรียบเรียงให้ผู้อ่านเสพกันทั้งหมด ก็คงพอทำให้คุณๆ ทราบว่า กว่าที่มาสด้า 2 รถเล็กสุดท้ายจากค่ายเมืองฮิโรชิม่า ไม่ได้ขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดอย่างเช่นเป็นอยู่ในวันนี้ง่ายนัก หากแต่ต้องผ่านการพิสูจน์หลายสิ่ง จากทั้งผู้ผลิตรถเอง รวมถึงใจของลูกค้าที่เอนเอียงมาซบอกมาสด้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทุกปี
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com