เมื่อเราคิดถึง Mercedes Benz ทุกคนต่างรู้จักรถยนต์ซีดานสุดหรูมาพร้อมเทคโนโลยีชั้นนำอันทันสมัย ปลอดภัยในการขับขี่ ค่ายรถยนต์เยอรมันแห่งนี้ คือ ผู้คิดค้น ริเริ่มนวัตกรรมต่างๆ มากมาย ที่เราใช้ในรถยนต์วันนี้ คลาสต่างๆ ถูกแบ่งออกตามขนาดรถ รวมถึงดีกรีความหรูหราของตัวรถ
คุณอาจจะแปลกใจเมื่อค้นพบว่ารถรุ่นหนึ่งที่ดูราวกับหลุดมาจากยุค 80 แถมราคาสูงมากพอซื้อคฤหาสน์ดีๆ สักหลัง เป็นรถที่แม้แต่เศรษฐีตัวจริงยังมีกระเป๋า ขนหน้าแข้งร่วงไปตามๆ ชื่อเสียงของมัน Mercedes Benz G Class ไม่ใช่รถที่คนทั่วไปจะเข้าใจนัก มันเกิดมาเป็นรถอเนกประสงค์ออฟโรดหรูพร้อมลุยเปี่ยมสมรรถนะ แม้แต่รถสปอร์ตชั้นนำ ถ้าไม่แน่จริง อย่าคิดท้าลอง!!!!
เรื่องราวเจ้าหรูพร้อมลุยคันนี้ ไม่ต่างจากพลอทหนังซุปเปอร์ฮีโร่ชั้นนำ กว่าจะมาถึง 40 ปี ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย รถคันนี้ผ่านเรื่องราวบทพิสูจน์มากมาย ราคาแสนแพงของมันกลายเป็นเรื่องเล็กสำหรับสาวกตราดาวกระเป๋าหนัก ต้องการรถไปได้ทุกที่ แถมมีรถบ่งว่า คุณเป็นนักเลงเบนซ์ตัวจริง … วันนี้ผมจะพาทุกคนย้อนไปอินกับ เรื่องราวตระกูล G ที่มีน้อยคนจะกล่าวถึงมัน
จุดเริ่มต้นรถรุ่นนี้ ต้องพาคุณย้อนเวลาไปไกลถึงปี 1969 (เอาตามตรงผมเองก็ได้แต่จับเรื่องราว เกิดไม่ทันยุคนั้น) นั่นเป็นเวลา 10 ปีก่อนรถรุ่นนี้จะเริ่มผลิตวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในโลก
เวลานั้น Daimler Benz AG ได้ติดต่อ Steyr-Daimler-Puch AG (SDP) ในเมือง กราซ ประเทศ ออสเตรีย ถึงความเป็นไปได้ในการสร้างรถยนต์สักรุ่นร่วมกัน สาเหตุที่ค่ายรถยนต์เยอรมัน ต้องการร่วมสร้างรถกับค่ายออสเตรียนั้น เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน จากการควบรวมกันทางธุรกิจในช่วงต้นยุค 1900 เหมือนเป็นเครือญาติห่างๆ ในวงการธุรกิจยานยนต์ มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงปี 1930
การคุยในระยะแรก ทาง Daimler Benz ต้องการพัฒนารถยนต์หลายรุ่นร่วมกัน ตั้งแต่รถนั่งไปยันรถบัส รถเพื่อการพาณิชย์ กระทั่งปี 1970 หลังจากเจราจามายาวนาน ก็ได้ข้อสรุปว่า ทาง SDP ต้องการสร้างรถบรรทุกเล็กสำหรับเส้นทางออฟโรด ในชื่อ Haflinger (Haflinger รถกระป้อขนาดเล็กน้ำหนักเบาพร้อมลุย ใช้เครื่องยนต์สูบนอน 643 ซีซี พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ)
ปี 1971 ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ เริ่มต้น ณ ภูเขา Sauberg เมื่อกรรมการบริหารทั้ง 2 บริษัทมาพบปะกัน เพื่อชมการทดสอบรถ Mercedes Unimog ,puch haflinger และ puch pinzgauer ลุยทางออฟโรดและรถจากแบรนด์ Puch ทำได้ดี เนื่องจากความเข้มข้นในการพัฒนารถของ SDP ในภูเขา Schockl แถวโรงงาน( ภายหลังสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งใช้ทดสอบ Mercedes Benz G Model มาจนปัจจุบัน)
ผลจากการทดสอบครั้งนั้น SDP ได้สัญญาความร่วมมือในการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก ในวันที่ 22 มิถุนายนปี 1971 มันนำสู่โครงการพัฒนารถยนต์สายลุยที่เรารู้จักในเวลาต่อมา
ฤดูใบไม้ผลิปี 1971 ,SDP และ Daimler Benz AG มีความคิดตรงกัน ทั้งคู่ต้องการพัฒนารถนั่งออฟโรดสามารถลุยได้สมบุกสมบันขับดีบนถนน เวลานั้นไม่มีคำว่า “รถอเนกประสงค์” เหมือนปัจจุบัน แต่พวกเขารู้ว่าควรทำ เพื่อปิดช่องว่างตลาด สำหรับคนใช้ชีวิตสุดขั้วมีโลก 2 ใบ ความคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดและยังคงอยู่ในรถคันนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนงานการวิจัยตลาด Mercedes Benz ประชุมสรุปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ปี 1972 ชี้ว่า รถลุยออฟโรดเป็นที่ต้องการกับลูกค้าจำนวนหนึ่ง ที่ชอบใช้วันว่างในการพักผ่อน แต่ตอนนั้นไม่มีใครมั่นใจว่ารถรุ่นใหม่จะประสบความสำเร็จกับยอดขาย มันจึงถูกวางเป็นรถสำหรับผู้เชี่ยวชาญใช้งาน อาทิเฉพาะทาง เช่นการกู้ภัย , ติดต่อทางการค้า เน้นไปยังกลุ่มหน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้านที่ต้องการและจำเป็นใช้รถขับในป่า
ส่งผลให้รถออกมามีเรือนร่างอย่างที่เราเห็นในวันนี้ แม้ว่าตอนพัฒนา G Model จะมีการออกแบบร่างสำหรับลูกค้าทั่วไปเอาไว้แล้วก็ตาม
เอกสารภายในบริษัท เมอร์เซเดส (ที่มีการเปิดเผยโดยทางบริษัทเองในภายหลัง) กล่าวในตอนนั้นว่า นี่คือรถเอสเตทที่สามารถใช้งานแบบออฟโรดได้ และด้วยความเป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับลุยสุดๆ
มีหลักฐานว่าทีมวิศวกรเยอรมัน ได้ขอร่วมสังเกตการณ์ การใช้งานรถของกองทัพหลายประเทศ ทำให้ G Class กลายเป็นที่สนใจของกองทัพทั่วโลก จนรถรุ่นนี้ถูกนำเข้าประจำการเพื่อใช้ปฏิบัติการทางทหาร ประเทศแรกๆ ที่สั่งซื้อรถรุ่นนี้ ได้แก่ อาเจนติน่า ,นอร์เวย์ ก่อนจะมาเริ่มนิยมจริงๆ ช่วงกลางยุค 1980
เดือนกุมภาพันธ์ปี 1979 Mercedes Benz G Class เปิดตัวสู่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยรหัสรุ่น 460 ที่เมืองตูลอน ในประเทศฝรั่งเศส พร้อมเชิญนักข่าวจำนวนมากร่วมงานเปิดตัวและทดลองขับด้วย
เสียงจากคำวิจารณ์ของสื่อมวลชนในเวลานั้น ต่างออกมาในภาพเชิงบวก ทั้งหมดชี้ว่ารถคันนี้ควบรวมความสามารถในการขับขี่เอาไว้อย่างน่าประทับใจอย่างยิ่ง จนขึ้นชื่อว่าเป็น รถที่สามารถขับได้ในทุกพื้นที่จริงๆ ,ราชันย์แห่งเทือกเขาแอลป์ และอื่นๆ อีกมากสะท้อนถึงความสุดยอดของ G ในเวลานั้น ทั้งที่เอาจริงๆ เบนซ์ไม่ได้เชี่ยวชาญรถสายลุยมาก่อน
ทางค่ายตราดาวไม่รอช้า รีบผลิตรถรุ่นนี้ออกวางจำหน่ายทันทีเริ่มจากประเทศทางยุโรปก่อน ในบางตลาดเช่น ออสเตรีย , ยูโกสลาเวีย , มองโกเลีย G Class ขายภายใต้แบรนด์ Puch ในชื่อ “Puch G”
ลูกค้าที่สนใจ G Model สามารถสั่งซื้อรถรุ่น 460 ได้ทั้งรุ่นฐานล้อสั้น (Short Wheel Base) ออกมาเป็นเรือนร่าง 3 ประตู มีความยาวฐานล้อ 2,400 มม. ส่วนรุ่นฐานล้อยาวมีระยะฐานล้อ 2,850 มม. แนะนำเพียงเรือนร่าง 5 ประตู การผลิตรถรุ่นแรกมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 240GD , 300GD ตลอดจนเครื่องยนต์เบนซิน 230G และ 280 GE ความต้องการรถสไตล์นี้เป็นปรากฎการณ์ใหม่ จนต้องเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 7,500 คันต่อปี
1981 เจ้าถึกสายลุยได้ระบบเกียร์ออโต้ 4 สปีด เป็นครั้งแรก การเติมความสะดวกสบายเข้ามาช่วยให้มันเข้าถึงคนกลุ่มใหม่มากขึ้น แนะนำเฉพาะในรถ 2 รุ่นท๊อป 300 GD และ 280 GE
ปีเดียวกันนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อโรงงานที่ผลิต G Model ตั้งแต่ปี 1977 ตกมาเป็นของ Steyr-Daimler-Puch (SDP) อานิสงค์ส้มหล่นครั้งนี้ ส่งผลให้ SDP เป็นบริษัทรับจ้างผลิตรถรุ่นนี้เพียงรายเดียวจาก Mercedes Benz ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
G Model ได้รับการอัพเดทเป็นครั้งแรก ในปี 1982 ทีมวิศวกรตั้งใจครั้งสำคัญ พัฒนาให้มันนั่งสบายมากขึ้น พวกเขาตัดสินใจยกชุดภายในจาก S class มาประจำการในอเนกประสงค์สายลุยคันนี้ ติดตั้งพวงมาลัย 4 ก้าน เบาะนั่งใหม่ เปลี่ยนภาพสู่ความหรูหรามากเป็นครั้งแรก
ด้านสมรรถนะการขับขี่ ทางค่ายเยอรมันจัดการ อัพเกรดชุดโช๊คอัพใหม่ เพิ่มความสบายยามขับบนถนน และพร้อมเมื่อต้องบุกป่าฝ่าดง องค์รวมได้ความเป็นรถนั่งมากขึ้น รวมถึงติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ หันมาใช้ระบบหัวฉีดด้วยรุ่น 230 GE (เข้ามาแทนตัว 230 G) ก่อนปีถัดมา (1983 ) จะมีระบบพวงมาลัยพาวเวอร์เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้า ในรุ่น 230 GE และ 250 GD
ช่วงปี 1982- 1983 เป็นช่วงประวัติศาสตร์สำคัญ ของ Mercedes Benz G Model ด้วยความท้าทายในการขับแข่งรายการ Paris-Algeria Dakar ในปี 1982 ค่ายเยอรมันได้นักขับชาวเบลเยี่ยม Jackie Ickx จับมือนำทางกับ Claude Brasseur ใช้รถ Mercedes Benz 280 GE ร่วมฝ่าทางโหดหินที่สุดของโลก
โอกาสชนะในปี 1982 ถือว่าค่อนข้างสูง เนื่องจากรถมีสมรรถนะดีในการลุย หากเหมือนโชคไม่เข้าข้าง มีการนำทางผิดพลาดบ่อยครั้ง จึงทำได้เพียงจบการแข่งขันในลำดับที่ 5 เท่านั้น
ความเป็นไปได้ที่จะมีชัยในทางฝุ่น ดันให้ Jackie ขอกลับมาแก้มือในปี 1983 ครั้งนี้นอกจากเขาจะมาพร้อมความมุ่งมั่น รถแข่งคู่ใจยังได้รับการปรับปรุงด้วยวัสดุใหม่ๆ หันไปใช้อลูมิเนียมหลายชิ้น น้ำหนักรถเปล่าเบากว่ารถเวอร์ชั่นขายจริงอยู่พอสมควร แถมเครื่องยนต์ดั้งเดิมถูกปรับแต่งเบ่งพลัง อีก 64 แรงม้า เป็น 220 แรงม้า จูนช่วงล่างพิเศษ ชุดเพลาหน้าพิเศษเพิ่มความถึกเมือต้องฝ่าความสมบุกสมบัน และใช้ยางพร้อมลุย
ในเวลานั้นนอกจากจะทำความเร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยังสร้างเซอร์ไพร์ส ด้วยการเป็นรถยนต์คันแรกที่ทำเวลาเร็วกว่ารถมอเตอร์ไซค์ในการแข่งขันดาร์การ์ ทั้งที่ขับบนเส้นทางเดียวกัน จบการแข่งขันปี 1983 แจ็คกี้ทำได้ตามเป้าหมายที่พวกเขาตั้งเอาไว้ เขาและรถคู่ใจ Mercedes Benz G Model คว้าชัยด้วยคะแนนรวมเป็นที่ 1 การแข่งขันทางโหดที่สุดของโลก นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ค่ายรถสตุ๊ทการ์ด ตัดสินใจลงแข่งแรลลี่ทางโหด จนหลายคนอาจไม่ทราบมาก่อน
ปี 1985 G Model รุ่นหลังคาผ้าใบ (Soft Top) ออกสู่ตลาดในเดือนมกราคม รถทุกรุ่นยังเพิ่มหูเกี่ยวด้านหน้า ติดตั้งระบบ Differential lock และ ระบบล็อคเพลากลางไฟฟ้า เพิ่มเข้ามา มันกลายเป็นที่ชื่นชอบของสายลุยทั้งหลายอย่างมาก
G Model ฉลองยอดผลิต 50,000 คัน จากโรงงาน ที่กราซ ในปี 1986 ชี้ให้เห็นความสำเร็จของรถยนต์ออฟโรด ที่ไม่เคยมีใครคิดว่าเป็นไปได้ ถ้าคิดเฉลี่ยรวม จะได้ยอดผลิต 10,000 คันต่อปี ซึ่งถือว่าเยอะมาก กับรถที่ไม่คยคิดว่าจะประสบความวำเร็จมาก่อน ปีถัดมาทางค่ายตราดาวฉลองความสำเร็จนี้อัพเดทรถ ด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ 240GD ให้ตัววัดระดับผ้าเบรกทางด้านหน้า , ตัวอุ่นน้ำฉีดกระจกหน้า รวมถึงกระจกไฟฟ้าประตูคู่หน้า ถูกเพิ่มเข้ามาให้ในรุ่นปี 1987
ปี1989 Mercedes Benz G Class ฉลองวาระ 10 ปี แนะนำรุ่นใหม่ ภายใต้รหัสตัวถัง 463 (รหัส 461-462 เป็นรหัสสำหรับรถกองทัพ) แต่กว่าจะวางขายถึงมือผู้บริโภคก็ในปี 1990 จุดเด่นสำคัญรุ่นนี้อยู่ที่การเปลี่ยนจากรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ Part Time มาเป็นระบบ Full Time 4WD ติดตั้งระบบเบรก ABS มาให้เป็นมาตรฐาน ให้ระบบ fully locking inter-axle differential
ในแง่การออกแบบยังคงสไตล์รถดูถึกทรงกล่องพร้อมลุย พกไฟตากลม จนหลายคนมองรถรุ่นนี้ภายนอกอาจจะนึกว่าเป็นรถเก่าที่ยังใช้งานได้ดี งานอัพเกรดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในห้องโดยสาร หันมาใช้ไม้ประดับตบแต่งหรูหรามากขึ้น มีเวอร์ชั่นเบาะหนังให้เลือกถ้าต้องการ
ไฮไลท์สำคัญรุ่น 463 เกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อค่ายตราดาว ตัดสินใจทำเรื่องบ้าบิ่นในรถคันนี้ แนะนำรุ่นท๊อปไลน์ 500 GE ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร ให้กำลังสูงถึง 241 แรงม้า ความแรงของมันทำให้มีราคาขายเกือบทะลุเป็น 2 เท่าของรถรุ่น 300 GE ในเวลานั้น
ปีเดียวกันเป็นครั้งแรกที่ Mercedes Benz G Model ต้องเปลี่ยนชื่อตามไลน์อัพรถเก๋ง หลังบริษัทจัดระเบียบไลน์สินค้าใหม่ กลายเป็น G Class และใช้จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันวันนี้
ปี 1997 Mercedes Benz G Class ได้รับการอัพเดทครั้งสำคัญ ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ รหัส M112 เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ V6 แทนการใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ให้กำลังสูง 215 แรงม้า มาพร้อมเกียร์ออโต้ 5 สปีดรุ่นใหม่ ด้านเครื่องยนต์ดีเซล อัพเดทเป็นเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.9 ลิตร ให้กำลัง 120 แรงม้า แนะนำเป็นรุ่น 290 GD
เดือน พฤษภาคมปี 1998 ตระกูล V8 G500 กลับมาอีกครั้ง มันยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร งวดนี้เบ่งพลังขึ้นมาเป็น 296 แรงม้า เป็นรถแรงสุดในตลาดอเนกประสงค์ในเวลานั้น ความร้อนแรงดังกล่าวทำให้ ค่าย AMG ในฐานะตราสินค้ารถยนต์สมรรถนะสูง ห้ามใจไม่ไหว ขอเข้ามามีเอี่ยวฉลอง 20 ปี รถอเนกประสงค์สายออฟโรดคันนี้
AMG ให้กำเนิดรถอเนกประสงค์ร้อนแรงที่สุดแห่งยุค Mercedes G55 AMG มันเป็นรถแรงพร้อมลุยคันแรกของแบรนด์ เครื่องยนต์ V8 ขยับขนาดกระบอกสูบเป็น 5.5 ลิตร ให้กำลัง 354 แรงม้าเป็นจุดเริ่มต้นความนิยมรถอเนกประสงค์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ในดารานักร้อง เซเลป ทางฝั่งอเมริกา ให้อยากได้รถคันใหญ่ดูหรูเครื่องแรง และเป็นแรงบันดาลใจบริษัทรถหลายค่าย สร้างรถสไตล์เดียวกันในเวลาต่อมา 0
เข้าสู่ยุค 2000 G Class อัพเดทภายในให้ทันยุคสมัย หรูพร้อมลุยได้พวงมาลัยมัลติฟังชั่น เบาะที่นั่งตอนหน้าใหม่เพิ่มความสบายสูงสุด รวมถึงปรับรายละเอียดบางส่วนภายนอก หันมาไฟเคลียร์เลนส์ แต่ที่สำคัญสุดคือ ไม่มีการแยกแบรนด์ระหว่างรถจาก Benz หรือ Puch อีกต่อไป
ก้าวปี 2000 เพียงปีเดียว G Class เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลสายแรงรหัส G400 CDI ใช้เครื่องยนต์ดีเซล V8 ขนาด 4.0 ลิตร รหัส OM626 ทำกำลัง 250 แรงม้า พกแรงบิด 560 นิวตันเมตร เครื่องยนต์บล็อกนี้หยิบมาจาก S Class
การปรับปรุงอื่นในปีเดียวกัน คือการเพิ่มสมรรถนะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เป็น 4 ETS มีระบบช่วยควบคุมการทรงตัว หรือ ESP ทำงานร่วมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อค หรือ ABS พร้อมระบบ Brake Assisted ช่วยในการสั่งหยุดด้วย เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Mercedes Benz ยังเปิดทางแนะนำรถรุ่นนี้สู่ตลาดอเมริกาเป็นครั้งแรก พวกเขาคิดถูก เพราะเพียง 7 ปี ให้หลัง (2008) ยอดขาย G Class ร้อยละ 20 มาจากอเมริกา เป็นรองเพียงตลาดประเทศเยอรมันเท่านั้น
ในปี 2004 G55 AMG กลับมาสร้างความว้าว! อีกครั้ง ด้วยเครื่องยนต์ V8 5.4 ลิตร ติดตั้งระบบซุปเปอร์ชาร์จ มุทะลุด้วยกำลัง 476 แรงม้า ให้แรงบิด 700 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งเร้าใจ 0-96 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 5.2 วินาที ถือว่าเร็วมากสำหรับรถร่างใหญ่คันโต
แต่แล้วเจ้า Mercedes Benz G Class เริ่มถูกตั้งคำถามในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนเดินเท้า เทรนด์โลกอนาคตต้องการรถที่มีความปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงยังถูกกดดันจากมาตรการลดการปล่อยไอเสีย ตามบทบาทของบริษัทรถยนต์ที่จะต้องมีส่วนสำคัญในการลดภาวะโลกร้อน
ปี 2005 G Class ถูกอัพเกรดด้วยไฟหน้า Bi-Xenon พร้อมปรับลดรุ่น G270 CDI และ G400 CDI เหลือเพียง G320 CDI ให้กำลัง 221 แรงม้า ทำแรงบิด 540 นิวตันเมตร พกเกียร์ออโต้ 7 สปีด ( 7 G Tronic)
สองปีต่อมา (2007) G 55 AMG ปรับเครื่องมีกำลังเพิ่มขึ้น เป็น 507 PS (500 แรงม้า) แรงบิดไม่เปลี่ยนแปลงที่ 700 นิวตันเมตร ส่งลงระบบเกียร์ออโต้ AMG Speedshift 5จังหวะ รุ่นนี้ปรับภายนอกให้ดีขึ้นเล็กน้อย ด้วยล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว มาพร้อมยาง 285/55/R18 รุ่นนี้มีกล้องมองหลัง พร้อมระบบเตือนแรงดันลมยาง ภายในตบแต่งด้วยหนัง Artico และในปีถัดมา มีการอัพเดทเครื่องยนต์ G500 ด้วยขุมพลังใหม่ M273 ให้กำลัง 388 แรงม้า รีดแรงบิด 530 นิวตันเมตร
กว่า 30 ปีที่ทำตลาดมา ปี 2009 Mercedes Benz G Class ได้ฤกษ์ฉลองวาระ 30 ปี การปรับปรุงปีนี้ รถได้เบาะนั่งหน้าใหม่ออกแบบตามสรีรศาสตร์เพิ่มความสบายสูงสุด ปรับเครื่องยนต์ G320 CDI มาเป็น G350 CDI พกขุมพลังดีเซล V6 3.0 ลิตร ให้กำลัง 221 แรงม้า ให้แรงบิด 540 นิวตันเมตร
ปีนี้มีรุ่นพิเศษ ออกมาขายในชื่อ Edition PURE ใช้พื้นฐานรถ G280 CDI ใส่ยางพร้อมลุย All Terrain ขอบ 16 นิ้ว ให้ขนาด 265/75/R16 พร้อมของแต่งสไตล์ลุย อีกยาวเป็นหางว่าว
ตลอดจนยังมีรุ่น Limited .30 ใช้พื้นฐานจากรุ่น G500 มาตอบโจทย์ลูกค้าสายนักสะสม ด้วยตราพิเศษเฉพาะรุ่น เช่นเดียวกับ G55 AMG มีรุ่น Edition 79 เจาะตลาดนักสะสมในตะวันออกกลาง มาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว กันชนหน้าเหล็กขนาดใหญ่ พร้อมของแต่ง อีก 2-3 รายการ รถคันนี้เผยโฉมที่งาน ดูไบ มอเตอร์โชว์ ปีนั้น
ปี 2010 เจ้า G Class ได้เครื่องยุคใหม่เริ่มวางขาย G350 Bluetec เช่นเดิมมันยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา พร้อมอัตราทดพิเศษเมื่อต้องขับออฟโรด ระบบเกียร์ออโต้เปลี่ยนเป็น 7 สปีดเข้ายุคสมัย เปิดตัวในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010
ให้หลัง 2 ปี Mercedes Benz G Class ได้รับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอีกนิดหน่อย หลักๆ ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงไฟหน้า LED มาพร้อมกระจกข้างมีไฟเลี้ยวในตัว เช่นเคยทางทีมงานค่ายตราดาว เน้นการพัฒนารถรุ่นนี้ในห้องโดยสารมากกว่า ภายนอกดูอาจจะดูราวกับหลุดมาจากยุค 80 พวกเขาออกแบบคอนโซลหน้าใหม่ มาพร้อมจอสั่งงาน COMMAND หน้าปัดมีจอแสดงข้อมูล ติดตั้งระบบเชื่อมต่อสื่อสารทางไกล รวมถึงยังให้ระบบช่วยเหลือในการขับขี่ อาทิ ระบบช่วยจอดรถ, ระบบ DISTRINIC Adaptive Cruise Control , ระบบเตือนมุมอับสายตา ยังได้กล้องถอยหลัง ตลอดจนระบบควบคุมการทรงตัวที่มีฟังชั่นช่วยควบคุมพ่วงลากด้วย
เรื่องเครื่องยนต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นปกติ ด้วยรุ่น G350 Bluetec ,G500 ตอบโจทย์ครบเครื่องให้ลูกค้าเลือก
ในรุ่นแรง AMG ค่ายตราดาวสายแร งตัดสินเพิ่มสมรรถนะรถรุ่นนี้ขึ้นไปอีก จากรหัส G55 ถูกปรับเป็น G63 ยกเครื่องยนต์ V8 5.4 ลิตร ซุปเปออร์ชาร์จทิ้งไป หันกลับมาใช้เครื่อง V8 5.5 ลิตร เหมือนเดิม มันทำกำลังสูงถึง 544 แรงม้า ใช้เกียร์ AMG Speed Shift Plus 7 สปีด
การปรับปรุงรถรุ่นนี้ยังเพิ่มระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว ให้ท่อไอเสียสูตรพิเศษ AMG Exhaust Sport ปรับช่วงล่างใหม่รองรับการขับขี่สไตล์สปอร์ตมากขึ้น ติดตั้งล้ออัลลอยขอบ 20 หน้ากว้าง 9.5 นิ้ว ให้ยาง 275//50R20 ปรับมาใช้ปั้มเบรกหน้า 6 พอท พร้อมจานเบรก 375 มม. ด้านในห้องโดยสารใช้หนัง “designo” เพิ่มความหรูหรามากขึ้น
แต่แล้ว AMG ก็ทำเซอร์ไพร์สด้วยรุ่นเหนือกว่าในปีเดียวกัน G65 AMG ออกมาพกเครื่องยนต์ M275 ขุมพลัง V12 เทอรร์โบคู่ ให้กำลัง 612 แรงม้า และทำแรงบิดสูงถึง 1000 นิวตันเมตร นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดมากที่สุด และพวกเขานำมันมาอยู่ในรถอเนกประสงค์สายลุย จนน่าจะเรียกว่า เป็นรถอเนกประสงค์เครื่องยนต์ V12 ก่อนสถิตินี้ถูกลบด้วยอเนกประสงค์รุ่นใหม่ๆ อย่าง Bentley Bentayga
ปี 2013 ไม่มีใครคิดว่า G Class จะไปไกลกว่าที่พวกมันเป็นอยู่ Mercedes AMG โชว์ร่างรถขับเคลื่อน 6 ล้อ ซึ่งร่างนื้ทางเบนซ์ผลิตให้กับกองทัพออสเตรเลีย มันมาพร้อมดิฟเฟอร์เรนเทียล 5 จุด ขับเคลื่อน 6 ล้อ มีเกียร์ ออฟโรด พร้อมระบบเตือนแรงดันลมยาง ของขวัญสำหรับเศรษฐีขาลุย ต้องมีประดับบารมี
รถรุ่นนี้กลายเป็นจริงและพร้อมขายในนาม Mercedes AMG G63 6×6 ในปี 2014 พกเครื่องยนต์ V8 5.5 ลิตรเทอรโบคู่ ให้กำลัง 544 แรงม้า และในวาระครบรอบ 35 ปี มีรายงานว่า รถ G Class ขายไปแล้วกว่า 230,000 คัน ทั่วโลก ทั้งหมดผลิตจากโรงงานใน Graz ที่เดียว
ความตื่นเต้นใน G Class ทำเอาการตลาดของ Mercedes Benz งงไปตามๆ กัน เมื่อปี 2016 หลังพบว่ายอดขาย G Class มีความต้องการจากตลาดสูงมาก จนในปีนั้นปีเดียวต้องผลิตรถกว่า 20,000 คัน เป็นยอดการผลิตต่อปี สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979
และแล้วในที่สุด ปี 2018 กว่า 38 ปีของการใช้บอดี้เดิมมาตั้งแต่ 1979 ในที่สุด ก็ได้เวลาก้าวสู่โฉม 2 เป็นครั้งแรก เปิดตัวในงาน North American International Auto Show (NAIAS) 2018
เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม รุ่นใหม่กว้างขึ้น 121 มม. ยาวขึ้น 53 มม. รวมถึงความสูงจากพื้นถึงท้องรถเพิ่มอีก 6 มม. เป็น 270 มม. แต่น้ำหนักตัวรถเบาลง 170 กก. ตามปกติแล้วเมื่อเปิดรุ่นใหม่รหัสตัวถังจะต้องเปลี่ยนตามไปด้วย น่าแปลก เมอร์เซเดสเบนซ์ ตัดสินใจใช้รหัส W463 ต่อไป
การอัพเดทตัวรถ นอกจากตัวถังใหญ่ขึ้น ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนปีกนกอิสระสองชั้น (Double Wishbone) ทางด้านหน้า ให้ความสามารถในการขับขี่ดีขึ้น ด้านหลังยังใช้ Rigid Solid Axle เหมือนเดิม อัตราทดเกียร์ลุยขยับขึ้นจาก 2.1:1 มาเป็น 2.9:1 และด้วยการเพิ่มความสูงจากพื้นถึง ท้องรถเป็น 270 มม. ทำให้มีความสามารถการลุยมากขึ้น มีมุมไต่ 30 องศา มุมจาก 31 องศา และ มุมคร่อมเพิ่มเป็น 26 องศา
ด้านในห้องโดยสารยังยกจาก S Class มาอัพเดทเหมือนเคย ครบเครื่อง ไม่ว่าจะจอ LCD 12 นิ้ว 2 จอ เบาะนั่งใหม่ให้ความสบายมากขึ้น ไฟแอมเบี้ยนในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี กระจกมองหลังไร้กรอบ และเครื่องเสียงจาก Burmester ทั้งยังเพิ่มเติมกับระบบความปลอดภัย ด้วยระบบเตือนการหลุดเลน ,ระบบเตือนความเหนื่อยล้าคนขับ, ระบบ Active Brake Assisted
ส่วนเครื่องยนต์มีเพียง V8 4.0 ลิตร แนะนำในรุ่น G 500 ให้กำลัง 416 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 610 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 6.1 วินาที เป็นรถเวอร์ชั่นธรรมดาเพียงรุ่นเดียวที่มีให้เลือก ส่วนในเวอร์ชั่น AMG ใช้เครื่องยนต์ขนาดเดียวกัน เพียงปรับให้มีความแรงถึง 577 แรงม้า ทำแรงบิด 850 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. 4.5 วินาที
ในประเทศไทย มี Mercedes AMG G63 วางขายเพียงรุ่นเดียว สำหรับคนที่ต้องการ G Class ด้วยราคา 14.9 ล้านบาทเป็นค่าตัวสำหรับคนที่ต้องการรถหรูแรงพร้อมลุย
การวางขายมานานกว่า 40 ปี ภายใต้เรือนร่างหน้าตาที่รู้จัก Mercedes Benz G Class อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หากด้วยเส้นสายการออกแบบที่ดูจะไม่ปิดแผกไปจากเดิมมากนัก ทำให้มันเป็นรถที่ได้ชื่อว่า “แกร่งกว่าเวลา” มันนับเป็นรถออฟโรดรุ่นเดียวที่พกความหรูหรา และใช้ได้ดีทั้งการขับทั่วไป และเมื่อต้องเข้าไปบุกป่าฝ่าดง
จนในวันนี้กลายเป็นรถที่ถือว่าเป็นไอคอนนิค ให้ชาวค่ายเมอร์เซเดส เบนซ์ ที่รักกันจริง ต้องมีครองไว้สักคัน …
ข้อมูลจาก Mercedes Benz , Wikipedia