Suzuki Carry รถบรรทุกขนาดเล็กโฉมล่าสุด พร้อมแล้วที่สานฝันต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ด้วยราคาสบายกระเป๋า 385,000 บาท ว่าดูกันว่ามันมีอะไรให้ลูกค้าบ้าง
Carry your dream… Carry your dreammmmmmmmmmm ตอนแรกก็ไม่ค่อยอยากเชื่อว่าจิงเกิ้ลหรือเพลงโฆษณานี้จะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้เขียนเท่าไหร่นัก แต่พอนั่งว่างๆ เมื่อใด เป็นอันต้องฮัมเพลงร้องตามขเวลาเผลอ แต่นอกจากเพลงประกอบโฆษนาจะติดหูฝังเข้าโสตประสาทได้ดีแล้ว ว่าแต่เจ้า Suzuki Carry โฉมใหม่ รถบรรทุกขนาดเล็กผู้เป็นเจ้าของภาพลักษณ์ราชารถฟู๊ดทรัค มันมีอะไรดีๆ ให้เราได้สัมผัสกันบ้างล่ะ?
โจทย์แรกสำหรับผู้ประกอบการที่มองหารถเพื่อใช้งานในองค์กร ส่วนใหญ่มักไปจบคบกับรถกระบะตอนเดียว ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยราคาเกิน 5 แสนบาท นั่นหมายความว่าต้นทุนในการทำธุรกิจก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งค่าน้ำมัน เบี้ยประกันภัย ตลอดจนเรื่องการบำรุงรักษาเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน
แต่กับเหล่าคนรุ่นใหม่ที่กำลังคิดจะริเริ่มสร้างธุรกิจเล็กๆ เป็นของตนเอง พวกเขาต้องจัดการต้นทุนที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เงิน หากใช้เกินหรือลงทุนในสัดส่วนผิดพลาดเพียงนิด ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาจนส่งผลถึงอนาคตของธุรกิจได้ ดังนั้น ตอนที่ Carry โฉมแรกได้เปิดตัวในไทยในปี 2011 เปรียบได้กับช่องทางสว่างที่ชี้หนทางให้แก่เหล่า SME ทั้งหลาย
โดยหลังจากซูซูกิบ้านเราได้ทำแผนการตลาดให้คนทั่วไปรู้ว่า Suzuki Carry คือรถบรรทุกขนาดเล็กที่จะช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าที่ซื้อรถไปใช้มีความคล่องตัว จนเป็นที่มาว่าทำไมเราพบเห็น Food Truck หรือแม้แต่รถตกแต่งพิเศษเพื่อทำธุรกิจต่างประเภทเป็นจำนวนสูงขึ้น จุดนี้แหละคือสิ่งที่ซูซูกิได้ทำการบ้านเพิ่มเติมอย่างหนัก เพื่อทำให้แครีเจนฯ 2 เป็นดั่งเพื่อนคู่คิดคู่สร้างที่พร้อมจะลุยงานสร้างฝันทุกอย่างไปด้วยกัน
ทีนี้ หลายคนมีคำถามว่า All NEW Suzuki Carry 2019 ที่เพิ่งเปิดตัวในเมืองไทยที่งาน Big Motor Sales มันมีอะไรแตกต่างกับรถโฉมก่อนหน้าบ้าง วันนี้เราไม่เพียงชี้แจงให้เห็นชัดทุกความเปรียบต่าง แต่ยังลงลึกถึงรายละเอียดการขับขี่ที่คุณอาจไม่คาดคิด หรือทดลองทำกับรถบรรทุกเล็ก 4 ล้อ คันนี้แน่นอน
Carry คันเล็ก ขนเยอะ… ขนของนะจ๊ะ อย่าคิดไปไกล
แครีโฉมที่แล้วด้วยตัวมันเองก็นับว่าทำหน้าที่ของรถบรรทุกขนาดเล็กได้ดี ด้วยขนาดคันพอเหมาะไม่ได้ใหญ่โต แต่กลับมอบพื้นที่กระบะท้ายไซส์ใหญ่ที่สามารถนำไปติดตั้งต่อเติม ทั้งเพื่อทำธุรกิจฟู๊ดทรัค รถขายของ หรือใช้งานกระบะท้ายเพื่อขนสัมภาระ ก็ล้วนแล้วทำได้ดีเหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเจ้าของผู้ครอบครองรถ
พอแครีคันใหม่มาถึง แน่นอนว่าจุดเด่นที่เคยมีอยู่เป็นทุนเดิมก็ถูกเสริมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งพื้นที่กระบะบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้น 15% แล้วยังเป็นพื้นราบเรียบไม่มีโป่งซุ้มล้อ แถมฝากระบะยังเปิดปิดได้ 3 ด้าน ช่วยให้การยกสัมภาระขึ้นท้ายกระบะทำได้อย่างสะดวกสบาย ขณะเดียวกันความสูงของกระบะวัดจากพื้นถนนเตี้ยลง 5.5 เซนติเมตร เหลือเพียง 75 เซนติเมตรเท่านั้น ข้อนี้ช่วยให้คุณผู้หญิงสรีระไม่สูงหยิบยกของใส่กระบะท้ายได้ง่ายกว่ารถโฉมก่อน และขีดความสามารถในการบรรทุกสูงสุดอยู่ที่ 945 กิโลกรัม
ภายในห้องโดยสารคืออีกจุดที่ได้รับการปรับปรุงได้ดีขึ้นไม่แพ้ประเด็นกระบะท้าย เห็นได้ว่ารูปทรงภายในเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มีสื่อบางท่านมอลดูแล้วคล้ายกับที่อยู่ใน Suzuki Jimny แต่ส่วนตัวผู้เขียนนั้นคิดว่าภายในยังคงลักษณะความเป็นมิตร ทุกสิ่งอย่างสามารถจับต้องหยิบใช้ได้ง่าย อาทิ ช่องเก็บของขนาดใหญ่ด้านผู้โดยสาร กับช่องว่างใต้เครื่องเสียงใส่ที่เอาสมารท์โฟนยัดใส่ไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นรถราคาเบาะสบาย กับเกิดมาเพื่อเป็นรถที่ใช้เชิงพาณิชย์ บรรดาอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ระบบกุญแจพร้อมระบบเซ็นทรัลล็อก หรือแม้แต่มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ เหล่านี้ล้วนไม่มีให้ทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนเป็นระบบอัตโนมือ ต้องใช้แรงของผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารทำเองล้วนๆ
เคยมีลูกค้าของแครีรุ่นก่อนถามมาว่า เจ้ารถขนของรุ่นใหม่เนี่ยมันเบาะนั่งคนขับปรับเลื่อนได้หรือยัง ข่าวดีปรับได้แล้วนะครับ… เลื่อนหน้าหลังถอยเข้าออกไป 105 มิลลิเมตร อีกทั้งตำแหน่งซุ้มล้อหน้าในรถรุ่นเก่าที่โป่งนูนเบียดบังพื้นที่วางขาภายใน กับรถโฉมใหม่มันหายไปแล้วเนื่องจากตำแหน่งซุ้มล้ออยู่ใต้เบาะนั่งพอดี
การนั่ง 3 คนด้านหน้าก็ทำได้ตามปกติเหมือนกับรถรุ่นก่อน น่าเสียดายนิดหน่อยตรงที่เบรกมือยังเป็นแบบโยกอยู่ซ้ายมือผู้ขับขี่ ถ้าให้มาเป็นแบบเบรกมือด้วยเท้าคงช่วยให้การนั่ง 3 คนมีที่ว่างมากขึ้น
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก แต่แครีก็ยังติดตั้งระบบเครื่องเสียงจาก Pioneer แบบ 1 DIN พร้อมลำโพงสองตัว ซึ่งซุ้มเสียงเมื่อฟังยามปกติรถติดๆ ถือว่าใช้ได้ ฟังข่าวก็ชัดเจน หรือจะต่อเสียบ USB ก็ทำได้เช่นกัน ด้านล่างลงมาจะเห็นปุ่มปรับแอร์แบบหมุน มันเย็นเจี๊ยบสะใจจนคุณไม่ต้องกังวลเลยทีเดียว
มาดูขุมพลังที่รับหน้าที่พารถบรรทุกน้อยไปไหนมาไหนกันบ้าง นี่เลยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร รหัส K15B แบบเดียวกับใน Suzuki Ertiga ให้กำลังสูงสุด 97 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อน 2 ล้อ ทางซูซูกิเคลมอัตราสิ้นเปลืองไว้ที่ 13.3 กิโลเมตรต่อลิตร เทียบกับเครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร บล็อกเก่าจะกินกว่าอยู่ราว 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร
พวงมาลัยไฮโดรลิคเดิมถูกถอดเปลี่ยนใหม่แล้วยัดพวงมาลัยไฟฟ้าเข้าไปแทน หวังใจว่าจะช่วยให้ลูกค้าคุณผู้หญิงที่ขับรถเองไม่ต้องควงจนเมื่อยแขน พร้อมกับวงเลี้ยงแคบเพียง 4.4 เมตร อำนวยให้คุณคนขับหักกลับรถที่ไหนก็ได้ไม่หวั่นแม้จะแคบเพียงใด
ส่วนคำถามว่าแล้วเจ้าแครีใหม่ให้ระบบปลอดภัยอะไรมาบ้าง นี่ครับเขามีเบรก ABS มาให้แล้วนะจ๊ะ ใครขับไปเจอลูกเด็กเล็กแดงตัดหน้า หรือจะประสาทเสียกับบรรดามอเตอร์ไซค์สุดซิ่ง คราวนี้เบรกอยู่แล้วหักหลบแบบล้อไม่ล็อคแล้วล่ะ ต่อมามีการแนบระบบ Engine Drag Control ที่ทำงานควบคู่กับเบรกเอบีเอส ในการตรวจจับว่าเมื่อใดที่เปลี่ยนลงต่ำอย่างรุนแรงจนล้อมีอาการจะล็อค ระบบจะส่งสัญญาณไปเตือนให้เครื่องชดเชยแรงบิดเพิ่ม เพื่อลดทอนการเกิดล้อล็อคจนรถหมุนเสียหลักให้มากที่สุด
ด้วยความที่เกิดมาเป็นรถบรรทุกไซส์เล็ก แต่มีภาระอันยิ่งใหญ่ในการต้องบรรทุกสัมภาระ หรือแม้แต่การแบกตู้ของร้านอาหารเคลื่อนที่ที่มีน้ำหนักมาก ซูซูกิ แครี จึงได้ผลิตกระบะท้ายจากเหล็กผสมกับกัลป์วาไนซ์ เพิ่มความทรทาน สึกกร่อนยาก และป้องกันการเกิดสนิม
สำหรับช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบคานแข็งพร้อมแหนบ 5 ชั้น ไว้รองรับการบรรทุก แล้วมีการย้ายแหนบไปไว้เหนือเพลา เพื่อการขับขี่ที่ดีขึ้นเมื่อมีน้ำหนักกดลงที่ท้ายกระบะ
แรงจริง คล่องกว่าเดิม แต่เหมาะกับการขับชิวๆ มากกว่า
เริ่มเรื่องสมรรถนะจากเครื่องเบนซินพันห้าบล็อกเดียวกับเออร์ติก้าก่อนเลย ขอบอกว่าขุมพลังลูกนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะตอนที่จับชนกับเกียร์ออโต้แล้ววางบนรถครอบครัว 7 ที่นั่งก็ว่าแรงแล้ว พอมาอยู่ในแครีคู่เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขอบอกว่าแรงได้ไม่อายใคร ตอนรถติดไฟแดงเดินเบาเครื่องเดินเรียบไม่สั่น ไม่มีเสียงดังให้รำคาญ แต่พอเร่งเท่านั้นแหละ…
พูดได้เต็มปากว่าเครื่องบล็อกใหม่ขนาดเล็กลงจริง แต่การขับขี่ที่รอบกำลังทำได้กระฉับกระเฉงตามแบบที่รถบรรทุกเล็กพึงเป็น โดยในรถคันทดสอบได้แบกน้ำหนักบรรทุกราว 100 กิโลกรัม จำลองการใช้งานจริงเมื่อลูกค้าซื้อไปใช้ขนของ ผลคือจังหวะออกตัวจากไฟแดงแบบกดคันเร่งจมมิดตั้งแต่เกียร์ 1 รถพุ่งไปข้างหน้ารวดเร็วทันใจดี จากนั้นค่อยสับ 2 และ 3 หากยังต้องการเค้นอัตราเร่งให้แซงรถหรืออุปสรรคเบื้องหน้าก็ทำได้ไม่อึดอัด
ขณะเดียวกัน ต้องชมเชยการทดเกียร์กระปุก 5 สปีด ที่คราวนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับใจไม่น้อย เพราะได้ลองเข้าเกียร์ 3 ที่ความเร็วราว 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งปกติการทำแบบนี้รถจะมีอาการกระตุกจนน่ารำคาญ เนื่องด้วยรอบเครื่องไม่สัมพันธ์กับความเร็ว แต่กับแครีใหม่ยังส่งตัวรถให้ทะยานไปข้างหน้าแบบไม่เหนื่อย
นอกจากนี้ ในตั้งแต่เกียร์ 3-4-5 การขับขี่ด้วยความเร็ว 30-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นช่วงสวีทสปอตที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ไปมาบ่อยครั้งเพื่อรีดแรงบิดให้รถพุ่งทะยาน ยกตัวอย่างดังนี้ มีจังหวะหนึ่งผมขับรถที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในตำแหน่งเกียร์ 5 ผมแค่กดคันเร่งลงไป 3 ใน 4 ตัวรถก็เรียกกำลังเพิ่มความเร็วได้แบบไม่อืดเหมือนที่คิดไว้ก่อนหน้า
ต่อมาผมลองขับที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเกียร์ 4 แล้วก็กดคันเร่งพอกัน ผลคืออัตราเร่งรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้แตกต่างกันชนิด 1-2 วินาที แต่อย่างใด โดยหลักการนี้ใช้ได้ครบทุกเกียร์นับจากหนึ่งถึงห้า ซึ่งมีพี่สื่อท่านหนึ่งขับรถทะยานสู่ความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในตำแหน่งเกียร์ 3 จนเขารู้สึกสงสัยว่าทำไมเครื่องเร่งดังเหลือเกิน นั่นแหละครับถึงได้เปลี่ยนเกียร์สู่ลำดับที่ 5
ที่กล่าวมาจึงพอสรุปเรื่องเครื่องใหม่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บนแครีได้ว่า แรง ยืดหยุ่น และมีการเซ็ทค่าอัตราเกียร์กับเฟืองท้ายที่เหมาะสมกับการบรรทุก ใครได้ลองไปขับจริงแล้วจะรู้สึกว่าแครีขับง่ายไม่ต้องค่อยกังวลเรื่องคาเกียร์สูงในรอบต่ำเท่าใดนัก การขับในเมืองที่รถเคลื่อนตัวเรื่อยๆ ตามกันไป แค่ใส่เกียร์ 2 หรือ 3 แล้วปล่อยให้รถวอกกิ้งสปีดไปข้างหน้าก็สบายแล้ว
เรื่องคลัทช์ประเด็นนี่ถ้าคนชอบจะบอกว่ามันโอเค แต่ถ้าปรับตัวได้ไม่เต็มที่คุณอาจจะเกิดอาการปวดเมื่อยก็ได้ เนื่องจากคลัชท์มีระยะยกสูงกว่ารถปกติ ทำให้ต้องยกเท้าขึ้นมาเหยียบในลักษณะคล้ายกับกดให้แป้นจมมิดเพื่อเปลี่ยนเกียร์ บางคนกังวลว่ามันจะแข็งจนปวดน่องหรือไม่ ตอบได้ว่านุ่มนิ่มสบายขามากครับ
คลัทช์ของแครีเป็นส่วนที่ทำให้เรารู้ทันที่ว่าพวกเขาตั้งใจออกแบบให้ลูกค้าใช้รถในเมืองเป็นหลัก เพราะมันนุ่มแถมยังมีช่วงการส่งถ่ายกำลังจากเครื่องสู่แผ่นคลัทช์ไปยังล้อแบบสมูท กล่าวคือผมเหยียบคลัทช์จนสุดแล้วเข้าเกียร์ 1 จากนั้นก็ผ่อนน้ำหนักเท้าออกเพียงเล็กน้อย รถก็เริ่มไหลออกบนทางราบแบบนุ่มนวลโดยไม่ต้องเติมคันเร่ง แต่ถ้าจะให้ชัวร์เวลาออกรถบนเนินก็เติมคันเร่งตอนถอนคลัทช์เสริมได้เช่นเดียวกัน
ระบบเบรกด้านหน้าให้จานดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังเป็นดรัมเบรกเหมาะสำหรับรถบรรทุกที่ต้องแบกน้ำหนักมากๆ ยามส่งสัมภาระ อาการที่สัมผัสได้จากการเบรกทุกย่านความเร็ว ทำได้ดีไม่ต้องกังวลว่าจะหยุดรถไม่ทันยามฉุกเฉิน แต่ถามว่ามันนุ่มเท้าหรือแข็งขนาดไหน ตอบได้ว่าอยู่กลางๆ ค่อนไปทางนิ่มนิดหน่อย
มาดูเรื่องพวงมาลัยไฟฟ้าบนรถบรรทุกคันน้อยนี่กันบ้าง ในความเร็วต่ำตอนคุณนั่งขับจะรู้สึกว่ามันหมุนง่ายคล่องมือ ระยะฟรีแทบไม่มีเลย ช่วยให้การขับลัดเลาะไปตามซอยแคบๆ ทำได้แบบไม่เกร็งหรือควงพวงมาลัยจนเมื่อยมือ อย่างไรก็ตาม ตอนเริ่มใช้ความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันจะกลายเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกที่เตือนให้คอยระวังตัว…
สิ่งที่เราอยากจะบอกก็ให้ทุกท่านที่กำลังคิดจะขับแครีซิ่งไปบนทางด่วนก็คือ คุณลดความเร็วแล้วขับไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะดีกว่าครับ เพราะด้วยลักษณะตัวรถเกิดมาเพื่อบรรทุกสิ่งของ แถมหัวเก๋งก็มีขนาดกว้างใหญ่รับลมประทะทั้งด้านหน้าและข้างเต็มๆ เจ้าพวงมาลัยที่มีระยะฟรีอันน้อยนิดผสมกับลมพัดขวางตัวรถ นี่แหละความบันเทิงให้ต้องคอยคัดพวงมาลัยแก้ไปมาตลอดการเดินทาง เรียกว่าใครที่ชอบขับรถมือเดียวคุณจะกลายเป็นคนจับพวงมาลัยสองมือเมื่อขับแครีแน่นอน ฟันธง
ช้าก่อน!! บางคนแอบกระซิบโทรจิตมาถามผมว่า แครีวิ่งเร็วสุดได้เท่าไหร่ ผมตอบได้ตรงนี้เลยว่า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ลองครั้งเดียวแล้วก็ไม่คิดจะลองอีก เพราะต้องหาทางตรงยาว ไม่มีสะพานให้ต้องกระโดดผ่าน และระหว่างขับนี่ลุ้นตลอดเวลาว่าลมจะพัดขวางกลางคันจนแก้พวงมาลัยไม่ทันหรือเปล่า เอาเป็นว่าอย่าไปลองเองดีกว่าครับ มันอันตรายไม่คุ้มเสี่ยงจริงๆ นะ ผมมีคาถาให้ท่องตามดังนี้ถ้าใครคิดจะซิ่งแครี เอ้าว่าตามนะ!! แครีเป็นรถบรรทุกของ ไม่ใช่รถกระบะซิ่ง แค่นี่แหละครับจบจริงๆ
เกือบจะหมดกันแล้วเจ้ารถบรรทุกเล็กคันนี้ ไม่เสียเวลาไปต่อที่เรื่องช่วงล่างดีกว่า โดยรถคันที่ขับทดสอบบรรทุกนน้ำหนักท้ายกระบะ 100 กิโลกรัม จึงสัมผัสได้ว่าการเก็บแรงสะเทือนในความเร็วต่ำทำได้ดีมาก ทั้งพื้นผิวถนนขรุขระ ทางรอยต่อบนถนนซีเมนต์ หรือการวิ่งผ่านหลุมฝาท่อระบายน้ำ แต่จะมีอาการดีดเด้งชัดเจนที่ด้านหลัง ก็ตอนที่ต้องวิ่งข้ามลูกระนาดอันเล็กเนินเตี้ย
การขับขี่ที่ความเร็วเดินทางไปจนถึงช่วง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงล่างมีความนิ่งดีในทางตรง แต่เมื่อใดที่ต้องเข้าโค้ง… แม้ความเร็วจะต่ำเพียง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งบนโค้งกว้างๆ ก็ตาม ตัวรถจะมีอาการเหวี่ยงหนีศูนย์ชัดเจน ทำเอาคุณต้องลดความเร็ว หรือไม่ก็ต้องเกร็งบังคับพวงมาลัยแล้วลุ้นไม่ให้รถหลุดโค้ง สรุปสั้นๆ ได้ว่า หากขับแครีกรุณาเบรกเข้าโค้งเสมอ เพราะเจ้านี่มันขับนิ่งบนทางตรง แต่จุดอ่อนยังเป็นเรื่องเข้าโค้งเหมือนรถบรรทุกเล็กยี่ห้ออื่นอยู่ดี
ปิดท้ายด้วยเรื่องเสียงรบกวนที่ดังเข้ามาภายในห้องโดยสาร เราไม่มีความคิดจะตำหนิแครีใหม่แต่อย่างแต่ เพียงถ่ายทอดความจริงให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ตอนรถจอดนิ่งสตาร์ทเครื่องไว้เสียงเครื่องไม่มีเล็ดลอดเข้ามา ยังคงฟังเพลงจากวิทยุหรือ USB รู้เรื่องชัดเจน แต่เมื่อใดวิ่งเกิน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งเสียงลมพัดไหลผ่านกระจกหน้าต่างบานข้าง รวมถึงเสียงถนนที่ดังก้องขึ้นมาจากยางจะกรูเข้ามาสู่รูหูผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร
อีกเสียงหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันก็เสียงเครื่องตอนเร่งรอบสูงๆ นี่แหละ ยิ่งขับเร็วลากรอบสูงเท่าไหร่เครื่องยิ่งโหยหวนมากเท่านั้น พูดง่ายๆ คือคุณขับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคาเกียร์ 5 ทั้งเสียงเร่งเครื่องตอนแซง เสียงลมไหลผ่านด้านข้าง และเสียงถนน สามอย่างนี้พร้อมใจกันดังแข่งราวกับว่ากลัวคุณเหงาซะอย่างนั้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับการถ่ายทอดความรู้สึกจากการทดลองขับขี่ Suzuki Carry ใหม่ ข้อสรุปที่มีต่อรถบรรทุกเล็กคันนี้คือ ด้วยราคา 385,000 บาท คุณจะได้รถที่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ของใครบางคน ที่มีความฝันอยากทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าใช่และมอบชีวิตใหม่ ดังนั้น ลองไปคิดดูว่าแท้จริงแล้วรถที่คุณต้องมันมีอะไรบ้าง หากแครีตอบสนองคุณได้ แล้วจะต้องจ่ายแพงไปทำไมกว่าเพื่อของที่คุณแทบไม่ได้ใช้งาน
ขอขอบคุณ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ให้โอการ่วมกิจกรรมครั้งนี้
ติดตามข่าวสาร และบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com