ในช่วงปลายปีแบบนี้ รถยนต์ใหม่มากมายทำให้หลายคนอยากจะได้มาครอบครองสักคัน ในขั้นตอนการซื้อรถยนต์ปัจจุบันการ ผ่อนรถ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ทำกันมายาวนาน และคำถามที่ผมเชื่อว่ามักเกิดในใจใครหลายคน คือ เราควรผ่อนมันนานเท่าไรกัน
การผ่อนรถแต่ละคนไม่เหมือนกัน ด้วยปัจจัยทางด้านการเงินและความสามารถในการผ่อนชำระ อาจจะด้วยฐานเงินเดือน คุณสมบัติการขอสินเชื่อและอีกมากมายหลายอย่างที่เป็นตัวแปรมากมาย ทว่า เราเองก็พอจะให้ความคิดคร่าวๆ ในเรื่องนี้ ได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย จากการตรวจสอบสถานะคุณเองก่อน
1.เงินดาวน์ เงินวางดาวน์ (Down Payment) คือ จุดเริ่มต้นของคุณกับรถสักคันที่ชื่นชอบ วงเงินเริ่มต้นนี้จะเป็นตัวชี้วัดทุกอย่าง ว่าเราควรจะผ่อนชำระเท่าไร หลักการง่ายมา ถ้าคุณวางเงินเยอะ ยอดขอสินเชื่อคุณก็จะลดลงตามไปด้วย นั่นหมายถึงวงเนที่คุณจะต้องแบกชำระดอกเบี้ยน้อยตามไปด้วย
หลักการวางเงินดาวน์ของทุกสถาบันการเงินเหมือนกัน คือ ถ้าคุณวางดาวน์ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป จะไม่ต้องมีคนค้ำประกันการกู้ หรือไม่ต้องไปลำบากคนอื่นมาค้ำกู้ให้ ถ้าสมมุติว่าคุณมีวงเงินเดือน เข้าออกครอบคลุมค่างวดรถคันที่อยากได้ ในกรณี เงินดาวน์น้อย หรือไม่ ดาวน์เลยก็หมายถึงคุณต้องกู้เยอะขึ้นตามลำดับ ค่างวดต่อเดือนก็จะแสนโหดมากขึ้น
2.เงินรายได้ ผมไม่เรียกว่า เงินเดือน เพราะแต่ละคนมีอาชีพไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีทำอาชีพอิสระเยอะแยะ และเงินเข้าออกในแต่ละเดือนก็ไม่ใช่เงินเดือนด้วยสิ
วงเงินรายได้ เป็นสิงพิจารณาหลักของสถาบันการเงินว่าจะมีความสามารถในการผ่อนชำระมากแค่ไหน บางครั้งในหลายกรณีหมายถึงการเพิ่มวงเงินดาวน์ด้วย เช่น มีอาชีพไม่มั่นคง หรือ มีหลักอาชีพไม่เป็นหลักแหล่ง การขอวงเงินประกันความสามารถ หรือ เงินดาวน์ จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เงินรายได้ มีวิธีคิดง่ายๆ ครับ คือ 2 เท่าของค่างวด เช่น คุณ ผ่อนรถ 7,000 บาทต่อเดือน วงเงินรายได้พึงมีคือ 15,000 บาท ต่อเดือน หลักการนี้สามารถใช้ได้เป็นสากล และมันจะจำกัด ตัวเลือกในการซื้อของคุณเอง
3.อัตราดอกเบี้ย ดอกเบี้ยถูกคิด โดยสิทธิจากเม็ดเงินไฟแนนซ์ที่คุณยื่นขอสินเชื่อ สมมุติ รถ 600,000 ดาวน์ 2 แสนบาท 4 แสนบาท ที่เหลือ คือเงินที่ต้องเสียดอกเบี้ยครับ
วงเงินสินเชื่อที่ต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับรถยนต์ปัจจุบันในรถยนต์ใหม่ป้ายแดงเสียเป็นอัตรารายปี ดอกเบี้ยแต่ละที่ก็คำนวณไม่เท่ากัน ยิ่งดอกเบี้ยถูกก็ยิ่งง่ายสำหรับคุณในการผ่อนชำระ รถบางยี่ห้อ ให้ดอกเบี้ย 0% หรือไม่เสียดอกเลยก็มีบ้างตามวาระโอกาสและเงื่อนไขในการขาย ตามแต่ละช่วงเวลา
ที่แน่ๆ ดอกเบี้ย แปรเปลี่ยนไป ตาม 2-3 อย่าง 1.สถาบันการเงิน ที่เรายื่นขอ 2.โปรโมชั่นสถาบันการเงินที่เรายื่นขอ 3.ระยะเวลาในการผ่อนชำระ และ 4 . วงเงินที่เราวางดาวน์
จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาในการ ผ่อนชำระค่างวด และวงเงินดาวน์ เข้ามามีปัจจัยสำคัญอย่างมาก ในการผ่อนชำระรถยนต์สักคัน ดังนั้นการพิจารณาต้องตัดสินใจให้ดี
แล้วผ่อนยาวเท่าไรดี
จาก 3-4 ปัจจัยที่เราพูดถึงไปข้างต้น คำถามผ่อนยาวเท่าไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยและความต้องการของคุณเอง ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนว่าเท่าไรเหมาะสม
แต่ถ้าให้แนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสม คือไม่ควรเกิน 6 ปี หรือ 72 เดือน ด้วยข้อเท็จจริงว่า รถใหม่ ปัจจุบันจะมี Life Cycle อยู่ราวๆ 5-6 ปี และอาจสั้นกว่านั้นบ้างในบางรุ่น
ยิ่งกว่านั้นในทางการซ่อมบำรุงรถยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการความเสียหายต้องซ่อมหนังหลายรายการในช่วงเวลาตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป
และที่สำคัญที่สุด การผ่อนชำระเป็นระยะเวลายาวเกินไป จะทำให้ คุณต้องเสียดอกเบี้ยมากเกินความจำเป็น บางครั้งเมื่นำดอกเบี้ยมาคำนวน จะเห็นว่า การผ่อนชำระของเรายาวนานมากจนดอกเบี้ยแทบจะกลืนกินซื้อรถได้อีกคันก็มี
ยกตัวอย่างในอเมริกา ชี้ว่าชาวอเมริกันชอบผ่อนรถเป็นเวลานานๆ เนื่องจาก เชื่อว่า ยอดผ่อนชำระต่อเดือนถูก โดยลืมมองไปว่าพวกเขาโดนดอกเบี้ยกินเงินส่วนต่างไปมาก จนสถาบันการเงินอิ่มหมีพลีมัน เช่นยอดผ่อน 37,000 ดอลล่าร์ อาจจะต้องเสียดอกเบี้ยถึง 2,000 ดอลล่าร์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี บางคนอาจจะชอบหลักการผ่อนยาว เพราะเชื่อว่าจะมีเงินในอนาคตมาโป๊ะปิดได้ในระยะเวลา 2-3 ปี เช่น อาจจะรอมรดกจากทางบ้าน หรือทำงานที่มีอาชีพได้รายได้ก้อนโต ก็เป็นไปได้
ดังนั้น การผ่อนรถ สั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เช่าซื้อ แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะไม่ผ่อนรถยาวนานเกินไปคือ 5-6 ปี ครับ