กว่า 4 ปีที่ผ่านมา มาสด้า 2 (Mazda 2) เป็นรถอีโค่คาร์ที่ยากจะหาใครเปรียบเทียบด้วยสมรรถนะการขับขี่เหนือชั้น ปีนี้ มาสด้าตั้งใจสร้างความว้าว Mazda 2 MY 2020 ใช่ดีแค่หน้าตา สมรรถนะยังเลิศขึ้นแม้ไม่รับอะไรเลย
การเปิดตัวตั้งแต่งาน Motor Expo 2019 , มาสด้า 2 ใหม่ จับใจด้วยการยกระดับงานออกแบบรถอีโค่คาร์ไปอีกขั้นให้ความรู้สึกดูพรีเมี่ยมกว่ารุ่นเดิม ส่วนสำคัญอยู่ที่ภายนอกใหม่ ที่มีการประบเปลี่ยนกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ ตลอดจนรายละเอียดบางส่วนกันชนหลังด้วย
รุ่น 5 ประตู ให้ความสปอร์ตพรีเมีย่มมากขึ้นมีชายกันชนหน้าใหม่ ติดตั้งล้อ 16 นิ้ว ดีไซน์ เก็บงานกันชนหลังให้ดูสปอร์ตขึ้น พร้อมไฟท้ายใหม่ ในขณะที่รุ่นซีดานเน้นเปลี่ยนรายละเอียดทางด้านหน้า ด้านหลังให้กันชนใหม่ ไฟท้ายเดิม แต่มันดูน่าใช้กว่าเดิมมาก
ในรุ่นท๊อป มาสด้า 2 จัดเต็มด้วยความหรูหราภายใน ทีเรียกว่า Blue Gray Leather with Grand Luxe Suede ถ้าให้พูดตามตรงแบบเข้าใจง่ายๆ ห้องโดยสารภายในเปลี่ยนมาใช้หนังสีน้ำเงินคราม รับเข้ากับการตัดเย็บส่วนรองนั่งและพนักพิงหลังบางส่วนด้วยหนังกลับ เพื่อให้เสื้อผ้าเรา ดูดติดกับ เบาะไม่เขยิบไปไหน แม้เบาะไม่มีปักบังคับแบบในรถสปอร์ตก็ตาม
มาสด้ายังเผยอีกว่า ตัวรถมีการปรับปรุงการบุเสียงในห้องโดยสารเพิ่มเติมหลายจุด เพื่อให้ความสบายในการโดยสารและเก็บเสียงระหว่างการขับขี่ดีขึ้น หากสิ่งที่มาสด้าดูจภาคภูมิใจมากในงวดนี้ คือ ระบบช่วยขับขี่ G Vectoring Plus จนต้องพาเราฝ่าเมฆหมอกมาเยือน สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
ผมเชื่อว่า G Vetoring Plus น่าจะพอคุ้นหูกันมาบ้าง ถ้าใครนึกไม่ออกระบบเดียวกันนี้ถูกติดตั้งในรถยนต์ มาสด้า 3 ใหม่ เป็นมาตรฐาน รวมถึง มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 ด้วยการหยิบระบบนี้เข้ามาแนะนำในอีโค่คาร์ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเกินความจำเป็นไม่ต้องใช้มันหรอกใความจริง
คนบ้าอะไรจะไปสาดเข้าโค้งในเมือง ทั้งยังขับท่ามกลางการจราจรติดขัดอีกต่างหาก ถ้าคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพียงเราอยากจะบอกว่า คุณอาจพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย
มาสด้า 2 อาจไม่ได้รับกับการปรับปรุงสมรรถนะอะไร มันยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร Sk yActiv G ให้กำลัง 93 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร สูงสุด ที่ 4,000 รอบต่อนาที เคียงข้างกันยังมีรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 105 แรงม้า สูงสุดที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำแรงบิดได้ 250 นิวตันเมตร มาเรื่อยๆ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ทั้งคู่พกเกียร์ออโต้ 6 สปีด ตอบโจทย์ในการขับขี่
การเติมระบบ G Vectoring Control (GVC) Plus เข้ามา ฟังแล้วอาจคิด เล็กน้อยเองนี่หว่า เหมือนอัพเดทแอปปิลเคชั่นบนมือถือ เพราะ มาสด้า 2 เดิม ก็มีระบบ G Vectoring Control (GVC) มาให้อยู่แล้ว ในระบบ GVC Plus ทางมาสด้าก้าวไปอีกขั้นด้วยกาใช้เบรกเข้ามาจำกัดและควบคุมรถด้วย ผิดกับระบบเดิมในเวอร์ชั่นแรก ใช้การตอบสนองเพียงเครื่องยนต์และเกียร์ เท่านั้น
ดังนั้น GVC Plus จึงดีกว่ามาก ถึงอาจจะคิดว่าก็แค่ใช้เบรกมาช่วยเพิ่ม หากความจริงในการเข้าโค้งหักหลบ หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน สิ่งที่นักขับทั่วไปไม่ได้คำนึงถึงสักเท่าไร คือ การถ่ายโอนแรงระหว่างการบังคับทิศทางรถ
เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ มาสด้า ตั้งสถานีทดสอบ ให้เรา 2 สถานี ด้วยกัน ด่านแรก จำลองว่ามีวัวตัดหน้า เรามาด้วยความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. หักหลบวัว แล้ว เจอรถสวนหักหลบอีก ในทางเทคนิคเรียกว่า Double Lange Change
มิตรคู่ใจในสนามวันนี้เป็นมาสด่ 2 ซีดาน ด่านแรกได้รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมาลองขับให้สะใจ เรื่องกำลังวังชาดีเซล หายห่วงเหยียบติดเท้าเร่งสะใจ ไม่เปลี่ยนแปลวง สถานีนี้เราถูกเซทให้ลองระบบ GVC+ ที่ความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. เมื่อมาถึงจังหวะหักเลี้ยว ผมสัมผัสได้ถึงแรงเหวี่ยงที่ถูกควบคุมให้อยู่ในอาณัติ มากขึ้นเมือเทียบกับรถเล็กรุ่นอื่นในตลาด
ปกติแล้ว รถที่มีน้ำหนักเบา ถ้ายิ่งเปลี่ยนด้วยความเร็ว ใช้พวงมาลัยหักเลี้ยวมากกว่าปกติ รถอาจลื่นไถลเสียการควบคุม ในชีวิตจริง หมายถึงคุณอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ มาสด้า 2 พิสูจน์ว่า GVC พลัส สามารถควบคุมรถให้อยู่หมัดได้สบาย เพียงเติมเบรกเข้ามาช่วย ควบคุมจังหวะที่เกิดการสะบัดของรถ
โดยเฉพาะรถซีดาน 4 ประตู ที่จะมีแรงเหวี่ยงมากเป็นพิเศษ ด้วยทรวดทรงท้ายยาว กว่าตูดสั้นแฮทช์แบ็ค จากที่ขับในสถานนี้หลายที รู้สึกว่าควบคุมง่ายกว่ารุ่นอื่ นๆ อย่างชัดเจน
GVC+ ไม่เพียงให้การควบคุมในเวลาเปลี่ยนเลนเท่านั้น ระบบยังสามารถควบคุมให้รถเข้าโค้งได้ดั่งใจ งวดนี้แม่นยำมากขึด้วยการใช้เบรกช่วยถ่ายเทแรงเหวี่ยงในขณะเข้าโค้ง ไม่เพียงมันนั่งสบายยิ่งขึ้น ยังทำให้ออกจากโค้งด้วยความเร็วได้ด้วย
ในสถานีถัดมา เราเปลี่ยนมาใช้มาสด้า 2 เบนซิน ผมยังโชคดีถูกชะตากับรุ่น 4 ประตูเหมือนเดิม สิ่งที่เบนซินต่างจากรุ่นดีเซลอย่างชัดเจน นอกจากความแรงและการตอบสนองของเครื่องยนต์แล้ว ยังหนีไม่พ้นความรู้สึกทางด้านน้ำหนักตัวรถ ที่ดูเบากว่าพอสมควร และมีสมดุลกว่าในแบบฉบับมาสด้า
ด่านนี้ว่าด้วยเรื่องการเข้าโค้งล้วน ๆ ในช่วงโค้งต่อเนื่อง ในสนามช้างฯ โค้งที่ 7-11 ในสนามนี้ จะต้องมีการเบรกและเลี้ยวต่อเนื่อ งการไปให้เร็ว จะต้องแม่ไลน์ ความเร็วดี ที่เหลือคือใจและสภาพรถ
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ทางครูฝึก ได้ให้เราวนรอบแรก โดยไม่เดินคันเร่งระหว่างเข้าโค้ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แรงเหวี่ยงหนีศูนย์ ตัวรถจะเยอะ แม้ว่าระหว่างไหลเข้าโค้ง จะความเร็วเพียง 70-75 ก.ม./ช.ม. รถก็ดูคุมยากแอบมีลื่นไถลเล็กๆ
รอบต่อมา เราขับโดยเดินคันเร่งเข้าโค้ง เพื่อให้ระบบ GVC+ ทำงาน แม้ใช้ความเร็วมากกว่าในรอบแรก 80 ก.ม./ช.ม. รถกลับดูขับง่าย การบังคับควบคุมแม่นยำขึ้น ดังที่ใจเราปรารถนา
มาสด้าอธิบายว่า เมื่อเข้าโค้ง เดิมที GVC จะดูการควบคุมพวงมาลัยและเกียร์ ที่ผู้ใช้ตอบสนอง ระบบรุ่นก่อนพัฒนาเพื่อช่วยให้เข้าโค้งง่ายขึ้นอยู่แล้ว การนำระบบเบรกมาช่วยใน GVC+ ระบบจะเข้ามาช่วยเบรกเพิ่มในระหว่างที่เราเข้าโค้งเพื่อให้เกิดการถ่ายน้ำหนักจากด้านหลังมาด้านหน้า เพิ่มแรงกดในล้อบังคับทิศทางมากที่สุด
เมื่อเข้าโค้ง แรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งหรือแรงหนีศูนย์ จะพยายามดันให้รถเสียการบังคับทิศทาง ยิ่งความเร็ว บังคับพวงมาลัยหักเลี้ยวมาก แรงหนีศูนย์ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ล้อนอกโค้งจะกลายเป็นผู้รับภาระน้ำหนักที่เกิดขึ้นในระหว่างการเข้าโค้ง ระบบ GVC+ จะสั่งเบรกล้อนอกโค้งเพื่อถ่ายน้ำหนักจากหน้าไปหลัง ลดแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าโค้ง ทำให้การควบคุมพวงมาลัยตั้งตรงมีความแม่นยำมากขึ้น และเมื่อออกโค้ง ระบบจะเบรกเพียงล้อหลังนอกโค้ง เพื่อป้องกันการเสียอาการให้คุณควบคุมระหว่างออกจากโค้งง่ายขึ้น
พูดแบบนี้…เป็นใครที่ไม่จบสายวิทย์มาก็คงงง ทำไมไม่พูดอะไรให้เข้าใจง่ายๆ ?? ใช่ไหม
ในความเป็นจริง เวลาเราเข้าโค้งจะมีการลดความเร็วอยู่ก่อนแล้ว แต่จะมีเพียงนักขับกระหยิบมือ รู้ว่าพวกเขาต้องจัดการกับน้ำหนักตัวรถ ย้ายมันมากดทางด้านหน้าให้มากที่สุด ระหว่างเข้าโค้ง คนจำนวนมากคิดว่าเป็นเรื่องการใช้ความเร็วในดค้งมากที่สุด ทั้งที่ส่วนสำคัญ คือการพยายามควบคุมรถให้ไปตามใจมากที่สุด และไม่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะ under steer หรือ Over Steer จากนั้นออกโค้งให้เร็วที่สุด เพราะในทางโค้งคุณจะทำความเร็วไม่ได้มาก
ทั้งหมดที่พูดมา ถ้าคุณเป็นนักแข่งรถจะเข้าใจในเรื่องนี้ สำหรับคนทั่วไป การเข้าโค้งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ใช้ความเร็ว GVC+ ถูกแนะนำเข้ามาด้วยเหตุนี้ มันทำงานสอดผสานกับเครื่องยนต์ ชุดเกียร์ และเบรก ตลอดจนที่ลืมไม่ได้ คือ ประสิทธิภาพโครงสร้าง และระบบกันสะเทือนของรถ ให้เป็นหนึ่งเดียว
ผมตระหนักเรื่องนี้ก็ตอนสุดท้าย ในช่วงขับเต็มรอบสนามช้าง Mazda 2 อาจจะไม่ใช่รถที่มีความสดใหม่ทางด้านสมรรถนะ ปรับปรุงช่วงล่าง เครื่องยนต์ หรืออะไรแบบที่คู่แข่งทำ หรือรถใหม่ที่กำลังจะมาแข่งกับพวกเขา สิ่งที่มาสด้าคิดต่างออกไป พวกเขาตั้งใจทให้คนธรรมดา ขับอย่างสนุกไร้กังวลมากขึ้น แนวคิดจินบะ อิตไต คือของจริง มิตรแท้ที่เข้าใจคนชอบขับรถอย่างแท้จริง จะมีสักกี่บริษัท เข้าถึงปรัชญาข้อนี้
ผมลงจาก Mazda 2 MY 2020 หลังจากเต็มอิ่มการขับในสนาม … ผมจะไม่พูดปดกับคุณว่า มาสด้า 2 เป็นเพียงการปรับหน้าทาปากเท่านั้น ก็เหมือนกับการไมเนอร์เชนจ์ของรถหลายรุ่น มันใช้เครื่องยนต์เดิม เซทติ้งช่วงล่างเดิม หากแต่การใส่พระเอก GVC+ ในเจ้าตัวเล็ก กลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันก้าวไปอีกขั้น จะมีรถอีโค่คาร์คันไหนเข้าโค้งได้มันส์สุดๆ ก็เห็นทีจะมีแต่คันนี้เท่านั้น ถ้าผมต้องเลือกรถเล็กสักคันขับทางไกลฝ่าพันโค้ง มาสด้า 2 คงจะเป็นมิตรแท้เพื่อนร่วมทางที่ดี
ระบบนี้ใช่มีดีแค่การพอกพูนอารมณ์ขับขี่ การควบคุมได้ดั่งใจยังช่วยลดความเสี่ยง เวลาเจอจังหวะนรก ต้องเปลี่ยนเร็วๆ หักหลบแรงๆ ถ้ามองในอีกด้าน GVC + ยังให้ความปลอดภัยมากขึ้นด้วย !! คุณว่า จริงไหม