ตลอดช่วงกลายปีที่ผ่านมา ต้องยมอรับว่า ฟอร์ด สามารถทำตลาดรถยนต์อเนกประสงค์จากพื้นฐานกระบะ หรือที่หลายคนเรียกว่า PPV (Pick Up Passenger Vehicle) จนจับใจลูกค้าไม่น้อย , Ford Everest , กลายเป็นรถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบความต้องการ ทั้งการโดยสารและพร้อมลุย จนกระทั่งมาถึงการเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่ผ่านมา
ช่วงส่งท้ายปี พ.ศ. 2561 ฟอร์ด จัดการปรับไลน์อัพสินค้า Ford Everest ใหม่ ยกแผง ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 2.0 ลิตร มีให้เลือกทั้งรุ่น 2.0 ลิตร ปกติ และในรุ่นท๊อปออพชั่นใช้ขุมพลังเดียวกับ Ford Ranger Raptor 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จคู่ หรือที่เรียกว่า Bi-turbo จนขึ้นแท่นรถอเนกประสงค์จากกระบะที่แรงที่สุด นับตั้งแต่เคยผลิตวางขายกันมาในช่วงหลายสิบปี
Ford Everest อัพเดทใหม่ เห็นหน้าค่าตัวก็อาจจะเรียกว่าไม่ต่างจากเก่าเลยก็ว่าได้ในรุ่น titanium + ท๊อปออพชั่นให้ความสง่าในสไตล์หรูด้วยเส้นสายที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไรนัก ไม่ว่าจะกระจังหน้าโครเมี่ยม, โคมไฟหน้าให้ไฟ Daytime Running Light ในตัว การส่องสว่างงวดนี้เปลี่ยนมาเป็นไฟหน้า LED ควบคุมบังคับแสงไม่ให้กวนสายตาเพื่อนร่วมทางผ่านโคมไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ ใต้กันชนมีไฟตัดหมอกหน้า
และด้านท้ายตอบโจทย์อย่างลงตัวด้วย ไฟท้าย LED ให้ประตูท้ายไฟฟ้า พร้อมฟังชั่น Hand Free Lift Gate ความสวยงามลงตัวกับล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50/R20 พร้อมล้ออะไหล่แบบอัลลอยให้ยางเดียวกันเปลี่ยนใช้ได้เลยไม่ต้องมาเหนียมอาย
ในห้องโดยสารชุดจอเรือนไมล์เปลี่ยนเป็น Dual monitor ให้ความสะดวกสบายดูทันสมัยกว่าเดิมพอสมควร ส่วนตัวผมไม่ค่อยถูกชะตามันเท่าไร แม้ว่าจะให้ข้อมูลได้เยอะขึ้นทั้งซ้าย-ขวา แต่ข้อมูลจำเป็นต้องใช้ อย่าง รอบเครื่องยนต์และตำแหน่งเกียร์ กลับไม่สามารถแสดงพร้อมกันได้ ต้องกดหา และจะหายไปทุกครั้งที่คุณต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่
ใกล้ๆ กันเป็นชุดจอเครื่องเสียงขนาด 8 นิ้ว รองรับความสามารถในการเชื่อมต่อทั้ง Apple Car Play และ Android Auto ไว้อย่างครบเครื่อง ตัวระบบเครื่องเสียงเอง ก็เป็น Ford Sync รุ่นใหม่ ใช้งานได้เร็วขึ้น เชื่อมต่อปุ๊ปป๊ปเสร็จไว เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น กว่าเดิมในรุ่นก่อนหน้า ตรงกลางด้านล่าง เป็นระบบช่วยขับขี่ต่างๆ มากมาย ทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Terrain Management System ไปจนถึงปุ่มระบบช่วยจอดรถ มีลูกเล่นมาให้ใช้เวลาขับในเมือง (แม้ว่าเอาเข้าจริงเราจะไม่ได้ใช้สักเท่าไรก็ตาม) ส่วนบนหลังคามีหลังคาพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิดได้กว้างขวางพอตัว
เบาะนั่งคู่หน้าให้ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ทั้งคนขับและคนนั่ง เบาะแถว 2 สามารถเลือ่อนและปรับเอน ตลอดจน ปรับพับได้ตามต้องการแล้วแต่จะเลือก ส่วนเบาะนั่งแถว 3 เปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้ากดเอาจากหลังรถ จะว่าสะดวกก็ใช่ ในบางอารมณ์ก็รู้สึกกว่ามันช้าไม่ทันใจทันความต้องการใช้งาน
เรื่องการให้ความเย็นภายในห้องโดยสารด้านหน้า คู่สามีภรรยาไม่ต้องตบตีกันด้วยระบบอุณหภูมิแยกอิสระ ซ้าย-ขวา ทางด้านหน้า ด้านหลังตั้งแต่เบาะนั่งแถว 2 เป็นต้นไป มีระบบปรับอากาศแยกต่างหาก สำหรับผู้โดยสารตอน 2 และ 3
เท่าที่เคยสัมผัสนั่งเบาะหลัง Ford Everest มันเป็นรถ PPV ที่มีท่านั่งค่อนข้างดี ให้ระยะวางขา และที่รองนั่งขนาดใหญ่ พนักพิงหลังปรับเอนได้ช่วยจัดการสรีระคนตัวใหญ่ก็ยังนั่งได้สบาย ตรงกลางมีที่เท้าขน ถ้าโดยสารไม่เยอะ ก็เปิดมาใช้งานได้
การเปิดเบาะนั่งแถว 3 ทำได้ง่ายสบายมาก เพียงใช้สวิทช์เปิดปิดไฟฟ้า จากห้องสัมภาระท้าย การขึ้นลง มีพื้นที่มากเข้าออกได้พอจะสะดวกอยู่เพียงแต่เบาะนั่งตอน 3 ยังไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่ไซส์หมี ถ้าจำเป็นต้องนั่งหลายคนจริงๆ ควรจะจัดระเบียบนำคนตัวเล็กหรือเด็กๆ ไปไว้ทางด้านหลังจะนั่งสะดวกกว่า โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางเป็นระยะเวลานานๆ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงใน Ford Everest ล่าสุด ถ้าไม่นับบรรดารุ่นพิเศษที่ออกมาส่งท้ายเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่าน ก็คงไม่พ้นเครื่องยนต์ใหม่ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ ในรุ่น Bi-Turbo หรือเทอร์โบ 2 ลูก มันทำกำลัง 213 แรงม้า สูงสุด ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตนเมตร มาตั้งแต่ 1,750 รอบต่อนาที ระนาบสั้นๆ ไปถึง 2,000 รอบต่อนาที ถ่ายทอดกำลังลงชุดเกียร์ออโต้ 10 สปีด รุ่นใหม่
ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมา รายละเอียดทางเทคนิค เหมือนกับ Ford Ranger Raptor จนเคยมีกระแสข่าวหลุดออกมาว่า ฟอร์ดอาจเอารหัส Raptor มาลงในเจ้า Everest
เครื่องยนต์ใหม่ดีกว่าเดิมไหม เรากำลังจะพิสูจน์กันไม่กี่อึดใจ เหยียบคันเร่งลงไป รู้สึกว่ารถออกตัวดีกว่าเดิม อันที่จริงหน้ามันเบาขึ้นเล็กน้อย คงด้วยขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กลงแต่ให้ความทรงพลังกว่าเดิม
เวลาขับในเมืองพละกำลังของมันไม่ได้เป็นประโยชน์มาก เว้นจะนั่งกันเต็มลำจริงๆ ก็คงมีไม่บ่อยนัก กำลังของมันมีดีเวลาคุณต้องการเร่งรีบพิชิตไฟแดง ยามในเมืองไม่มีที่ให้คุณผงาด 210 แรงม้า สักเท่าไร หลายคนอาจจะคิดว่า เครื่องยนต์เล็กลง มันต้องประหยัดขึ้นแน่ๆ ความเป็นจริง Ford Everest เทอร์โบคู่ไม่ประหยัดเท่าไรนัก ลองจินตนาการคนตัวเล็กเล่นก้ามจนเป็นมัดๆ กับ คนตัวใหญ่ที่เล่นกล้ามนิดหน่อยก็ออกมามีมัดกล้ามเท่ากัน เรื่องนี้ไม่ต่างกันนักกับความจริงของเครื่องยนต์ 2.0 ที่มีกำลัง 213 PS จากโรงงาน
จากการทดลองขับในเมือง ผมค้นพบว่า มันไม่ได้ประหยัดอย่างที่คิด ยิ่งเจอการจราจรติดขัดแบบทุกวันนี้ จากระยะทางขับทั้งหมด 77 ก.ม. ผมเติมน้ำมันไปมากถึง 13.53 ลิตร คิดเป็นอัตราประหยัด 5.69 ก.ม./ลิตร แต่หากดูบนหน้าปัด โชว์อัตราประหยัด 7.9 ก.ม./ลิตร และเมื่อผมจบการขับทดสอบ Bonn Test Mode ก็ได้อัตราประหยัด 11.39 ก.ม./ลิตร นั่นตอบได้เลยว่ารถคันนี้ไม่ได้เน้นความประหยัดสักเท่าไร
การใช้งานรถอเนกประสงค์แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการงานเพื่อเดินทางต่างจังหวัดเสียมากกว่า Ford วาง Ford Everest 2.0 Bi turbo เป็นตัวเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถสมรรถนะพร้อมลุย และมีมันรุ่นเดียวในรุ่นย่อยทั้งหมด ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
เมื่อออกเดินทางต่างจังหวัด เครื่องยนต์ 210 แรงม้า ของมันให้ความมั่นใจในการขับขี่ ไม่กลัวการแซงใดๆ มันดีพอจะพาเจ้าอเนกประสงค์คันโต ผ่านช่องต่างๆ ไปได้ง่ายๆ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องขนาดตัวรถให้เครียดวุ่นวายใจ
พละกำลังมหาศาลของรถคันนี้ออกแบบไว้ สำหรับการแซงเป็นหลัก เมื่อขับด้วยความเร็วระดับหนึ่งพวงมาลัยไฟฟ้าของฟอร์ด จะเริ่มตึงมือขึ้นมาทันใด ให้การควบคุมง่ายเมื่อรวมกับศักยภาพของระบบกันสะเทือน ด้านหน้าปีกนกอิสระ 2 ชั้น พร้อมคอยย์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังวัตต์ลิงค์ ช่วงล่างกึ่งอิสระพิเศษเฉพาะรุ่น ก็ยิ่งทำให้รถคันนี้ขับมั่นใจขึ้น อันที่จริง ฟอร์ด เซทระบบช่วงล่างมาลงตัวมากตั้งแต่รถรุ่นนี้เปิดตัววางขาย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ระบบกันสะเทือนเอเวอร์เรส เก็บอาการกระเทือนจากถนนค่อนข้างดี ในห้องโดยสารนั่งสบาย แม้ว่ารถคันนี้จะให้ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วจากโรงงาน จะมีกระแทกบ้างช่วงคอสะพาน หรือหลุมบนถนนที่มีขนาดใหญ่ มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
ส่วนการเข้าโค้งทำได้ค่อนข้างนิ่ง และคุมง่าย ถึงจะมีอาการโยนตัวบ้างเนื่องจากรถมีความสูง การติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา มีข้อดี คือ ช่วยควบคุมการโคลงตัวของรถ ดีกว่ารถอเนกประสงค์ระดับเดียวกันรุ่นอื่นๆ จนขับกี่ที ก็ยังประทับใจ
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของมันยังมีดีในเรื่องการลุย ด้วยระบบ Terrain Management System เพียงบิดโหมดเปลี่ยนตามสภาพพื้นที่ ก็ตอบโจทย์การใช้งานอย่างถึงใจ ถ้าต้องการขับในตำแหน่ง 4 Low ก็เป็นปุ่มกดลงไป จะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อ จอดนิ่งและเข้าเกียร์ว่าง เรียกว่าใช้งานค่อนข้างสะดวก ให้ศักยภาพในการลุยดีจนคนที่ไม่มีทักษะก็ขับได้ง่ายสบายมาก
ถึงจะทำให้ระบบใช้งานง่าย แต่ข้อเท็จจริงที่เราพบระหว่างการขับ Ford Everest ใหม่ พิชิตทางห้วยคอกหมู เราค้นพบว่า ล้อและยางขอบ 20 นิ้ว ไม่เหมาะสมกับทางลุยเท่าไรนัก ยางแก้มเตี้ยไม่ถูกชะตากับทางหิน จนเราทำยางแตกไปหนึ่งเส้นกลางป่า แม้ว่าจะขับด้วยความระมัดระวังก็ตาม
เช่นเดียวกันพวงมาลัยไฟฟ้าสุดแสนวิเศษ โดยเฉพาะยามขับในเมือง และตึงมือในทางไกลใช้ความเร็ว พอมาขับบนทางออฟโรด กับกลายเป็นหอกข้างแคร่คุณต้องคอยแก้อาการพวงมาลัยที่เปลี่ยนทิศทางเองจากการผ่านอุปสรรคต่างๆ แม้นแต่กับการตกหลุมก้ตาม ระยะทางเพียง 4-5 ก.ม. จากจุดเริ่มต้น ถึงปลายทางห้วยคอกหมูไม่ได้สนุกนักถ้าคุณขับเจ้าภูผามาลุย ยิ่งกว่านั้น ระบบกันสะเทือน เหมือนออกแบบโช๊คมาสั้น ทำให้แรงสะเทือนถึงห้องโดยสารง่ายในทางลุย จนคุณรู้สึกนั่งไม่สบาย อาจจะด้วยเหตุรถรุ่นนี้เป็นยางแก้มเตี้ยด้วยจึงซับแรงกระแทกทางขุรขระไม่ดีเท่าไรนัก
Ford Everest 2.0 Bi Turbo ได้แรงขับสบาย เหมาะมากถ้าไม่เน้นลุย
หลังจากลองขับ เจ้า Ford Everest 2.0 Bi Turbo มาลองขับในหลายๆ สภาวะ ผมพิสุจน์แล้วว่าเครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบคู่ บล็อกนี้ของค่ายวงรีสีน้ำเงิน มีดีทางด้านสมรรนถะ จนยากจะหาใครเปรียบ ที่จริงเครื่องยนต์รุ่นนี้ผมพบพานมันมาตั้งแต่ Ford Ranger Raptor แต่พอมาอยู่ในอเนกประสงค์คันโตกลับรู้สึกว่าบทบาทมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ความดีงามของ เครื่องยนต์ 2.0 ลิต รเทอร์โบคู่ใน Ford Everest เน้นโชว์ความมั่นใจในการขับขี่ อัตราเร่ง 210 แรงม้า มันดีพอจะเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ในเวลา 11.0 วินาที และให้การเร่งแซงพาเจ้ายักษ์คันโตไปได้ในระดับ 9 วินาที ถือว่าแรงเอาเรื่อง แต่ไม่ได้หนีจากคู่แข่งมาก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากกว่า
การเล่นของฟอร์ด ไม่ได้ ออกตัวน่ากลัวแบบรถสปอร์ต เนื่องจากรถคันนี้เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา มันจึงออกตัวแบบเนิบๆ แล้ว ดึงแรงช่วงแรกตามสไตล์นิสัย เครื่องยนต์ดีเซล ให้ความจัดจ้านในแบบที่คุณไม้คิดว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร จะทำได้
อย่างไรก็ดี , ความดีความชอบในเรื่องความแรง ก็ต้องเจอกับอัตราประหยัดเอาเรื่องเหมือนกัน อัตราเร่งขนาดนี้ ขับในเมือง เติมจริง 6 ก.ม./ชลิตร บนหน้าปัด 8 ก.ม./ลิตร ถ้าเดินทางต่างจังหวัด ก่อนเข้าเส้นทางห้วยคอกหมู ขับด้วยความเร็วเดินทางปกติ 100-120 ก.ม./ช.ม. วัดอัตราประหยัดได้ 10.63 ก.ม./ลิตร เท่านั้น ถือว่าพอไปวัดไปวาได้
ถ้าคุณจะถามมว่ามันกินไหม ถ้าขับรถ ไปทั้งครอบครัว กินขนาดนี้ไม่เท่าไรหรอก แต่ผมยังไม่สามารถตอบได้กับการนั่ง 7 คน เต็มพร้อมสัมภาระ แน่นอน เครื่องยนต์เล็กให้กำลังแรงอาจต้องทำงานขยันมากกว่า ดีที่ฟอร์ดใช้เกียร์ 10 สปีดมาเป็นผู้ช่วยเพิ่ม แต่วันนี้ก็ยังคิดว่า มันค่อนข้างซดอยู่
สรุปผลการทดสอบ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ใน Ford Everest
ข้อมูลอัตราประหยัด
ในเมือง | 5.69 ก.ม./ลิตร |
นอกเมือง | 10.63 ก.ม./ลิตร |
Bonn Test Mode | 11.93 ก.ม./ลิตร |
ข้อมูลอัตราเร่ง
0-100 ก.ม./ช.ม. | 11.0 วินาที |
80-120 ก.ม./ช.ม. | 9.0 วินาที |
หลังจาก อยู่กับ Ford Everest 2.0 Bi Turbo หลายวัน มันเป็นรถที่ดีขับสบาย ขับสนุก และมั่นใจมากบนถนน ขับในเมืองอาจจะต้องยอมควักค่าน้ำมันกับมันเสียหน่อย ถ้าขับนอกเมืองก็ดูแล้วจะสมน้ำสมเนื้อมากกว่า มันเหมาะใช้เดินทางมากกว่า เอามาขับให้รถซดน้ำมันท่ามกบางการจราจรติดขัดในเมือง
น่าเสียดาย ฟอร์ดดันวางรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมาเพียงรุ่นเดียว และมันติดตั้งล้อขอบ 20 มาจากโรงงาน ซึ่งไม่เหมาะสมในทางลุยเท่าไรนัก มันเหมือนคุณสมสูทรองเท้าหนังไปเดินป่า
ถ้าถามผมว่า มันลุยได้ ผมตอบว่าลุยได้ แต่คงจะดีกว่า ถ้าใส่ยางพร้อมลุยกว่านี้ สมมุติคุณเป็นสายชอบเที่ยวธุดงค์กันจริงๆ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ บล็อกนี้ มีความสามารถทุกอย่างเท่า Raptor ขาดก็เพียงโหมดควบคุมเกียร์และเครื่องยนต์ที่ไม่เหมือนกัน ก็เท่านั้นเอง