Home » ประวัติ Fabio Quartararo แชมป์โลก MotoGP คนล่าสุดจาก Yamaha สานต่อตำนาน Valentino Rossi
คอมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์สปอร์ต

ประวัติ Fabio Quartararo แชมป์โลก MotoGP คนล่าสุดจาก Yamaha สานต่อตำนาน Valentino Rossi

Valentino Rossi ถือเป็นหนึ่งในนักบิดที่มีชื่อเสียงกับการแข่งขัน MotoGP มาอย่างยาวนาน ในฐานะแชมป์โลก 9 สมัย แต่หลังจากที่นักบิดหมายเลข 46 คนนี้ได้อำลาสังเวียนไป นักบิดคลื่นลูกใหม่ที่เข้ามาสานต่อตำนานของเขาให้กับซุ้ม Yamaha ก็คือแชมป์โลกคนล่าสุดอย่าง Fabio Quartararo

Fabio Quartararo เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี ค.ศ. 1999 มีบ้านเกิดคือ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส และด้วยความที่พ่อของเขาคือ Étienne Quartararo ผู้ซึ่งเคยเป็นแชมป์เปี้ยนการแข่งขัน WorldGP รุ่น GP125 ทำให้ครอบครัว ไม่ลังเลเลยที่จะพาเจ้าหนู Fabio เข้าสู่โลกของการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น ด้วยการเปิดประสบการณ์ครั้งแรกของเขาโดยการมอบรถ Yamaha PW50 ให้ลิ้มลองก่อนเป็นคันแรก

ก่อนที่ต่อมา เมื่อ Fabio เริ่มหลงไหลในการแข่งขันมากขึ้น เจ้าตัวก็ได้บินข้ามฟ้ามาอาศัยที่ประเทศสเปน เพื่อทำการแข่งขันในเวที Promovelocidad Cup หรือ Catalan Championship ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันสำหรับนักบิดรุ่นใหม่ของประเทศดังกล่าวที่สามารถปูทางไปยังการแข่งขันระดับโลกได้

และด้วยทักษะ และความสามารถของ Quartararo จึงทำให้เจ้าตัวสามารถคว้าแชมป์ประจำปีในรุ่น 50cc ได้เมื่อปี 2008 ต่อด้วยการเป็นแชมป์ประจะรุ่น 70cc ในปี 2009 และเป็นแชมป์รุ่น 80cc ในปี 2011 ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าตัวได้ขยับขึ้นมาแข่งในรุ่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักบิดเยาวชน อย่างการแข่งขัน Mediterranean Championship ในรุ่น Pre-Moto3 เมื่อปี 2012 และกลายเป็นแชมป์ประจำฤดูกาลในทันทีแม้จะพึ่งขึ้นมาแข่งเป็นปีแรก

จากนั้นในปี 2013 Fabio ก็ได้เลื่อนขึ้นมาแข่งในเวทีที่ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น และใกล้เข้าสู่การแข่งขันระดับเวิร์ลกรังปรีซ์มากที่สุดอย่างศึก FIM CEV Repsol ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันช่วงท้าย ที่สามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 3 เรซรวด และกลายเป็นแชมป์ประจำฤดูกาลไปในทันที

แถมยังมีสถิติติดมือกลับมาด้วย คือการเป็นนักบิดที่ไม่เป็นมีเชื้อสายสเปนคนแรก 6 ปี ที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการนี้ได้ ต่อจาก Stefan Bradl และเป็นนักบิดอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการนี้ได้ด้วยอายุ 14 ปี กับอีก 218 วัน แทนสถิติเดิมของ Aleix Espagararo

แต่ด้วยกติกาล่าสุดของ FIM ที่ประกาศเมื่อปี 2008 และมีการบังคับใช้ในปี 2010 ระบุว่านักบิดที่จะขึ้นไปแข่งรุ่น Moto3 ในเวทีระดับ WorldGP ได้จะต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป จึงทำให้นักบิดเลือดน้ำหอมรายนี้ ต้องอยู่ในการแข่งขัน FIM CEV Repsol ต่อไป ในปี 2014 ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำในความสามารถของเขาไปอีกขั้น เมื่อเจ้าตัวสามารถคว้าแชมป์ประจำสนามในการแข่งขันปีนี้ไปได้ถึง 9 จาก 11 สนาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแข่งขันในสนามบ้านเกิด อย่างเลอมังส์ ที่เจ้าตัวได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 2 แต่สามารถขึ้นนำได้ตั้งแต่ช่วงต้น และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนต่างเวลาจากอันดับสองถึงเกือบ 4 วินาที จากการแข่งขันทั้งหมด 9 รอบ

และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทาง FIM ต้องเปลี่ยนกฏกรอบอายุ นักบิดที่จะขึ้นไปแข่งรุ่น Moto3 ในเวทีระดับ WorldGP ได้จะต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใหม่อีกครั้งว่าจะได้รับข้อยกเว้น หากมีดีกรีเป็นแชมป์การแข่งขัน FIM CEV Moto3 มาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักบิดดาวรุ่งที่มีฝีมืออย่าง Fabio Quartararo ได้ขยับขึ้นไปแข่งขันในรุ่นที่สมน้ำสมเนื้อกับความสามารถของเจ้าตัวมากขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ในเดือนตุลาคม ปี 2014 นักบิดรายนี้ ก็ได้รับการประกาศทันทีว่า เจ้าตัวจะถูกขยับขึ้นมาแข่งขันในศึก Moto3 ของการแข่งขัน MotoGP ปี 2015 ภายใต้สังกัดทีมอันดับต้นๆประจำรุ่นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่าง Estrella Galicia 0,0

Quartararo เปิดตัวในการแข่งขันแรกที่กาตาร์ปี 2015 ด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 7 และในสนามถัดมาก็สามารถคว้าโพเดี้ยมในการแข่งขันระดับโลกให้กับตนเองได้เป็นครั้งแรกด้วยการจบอันดับ 2 ที่สหรัฐอเมริกา คว้าตำแหน่งโพลโพซิชันได้อีก ในการแข่งขันที่เฆเรซ ประเทศสเปน และได้อันดับเดียวกันอีกครั้งในการแข่งขันที่เอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ จนเริ่มมีการกล่าวถึงว่านี่อาจเป็น “The New Marquez”

อย่างไรก็ดี ในขณะที่เจ้าตัวสามารถเข้าเส้นชัยในอันดับเลขตัวเดียวได้บ่อยครั้ง แต่มันก็มีหลายครั้งที่เจ้าตัวพลาดล้มไม่จบการแข่งขันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันที่มิซาโน ประเทศอิตาลี ที่เจ้าตัวเจ็บหนักถึงขั้นกระดูกข้อเท้าหัก และต้องพักฟื้นลงแข่งไม่ได้ต่อเนื่องถึง 4 สนาม แล้วกลับมาแข่งอีกครั้งในสนามปิดฤดูกาล แต่ก็ไม่ได้แต้มติดมือกลับไป และจบในอันดับที่ 10 ของตารางแข่งขันประจำฤดูกาลในที่สุด

ช่วงเวลาที่ Quartararo ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ยังไม่หมดลงแค่นั้น เมื่อเจ้าตัวได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ทีม Leopard Racing ในการแข่งขัน Moto3 ปี 2016 ด้วยสัญญา 2 ปี ซึ่งแม้ทีมดังกล่าว จะเป็นถึงทีมแชมป์เก่าในปีก่อน แต่เขาก็ยังทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ แถมยังด้อยกว่าปีก่อนด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีสนามที่ไม่จบการแข่งขันน้อยลง ทว่าคะแนนสะสมตอนจบฤดูกาล กลับร่วงลงไปอยู่ในอันดับ 13 เสียอย่างนั้น

แต่ด้วยบางสิ่งที่รอเฉิดฉายในตัวนักบิดหมายเลข 20 รายนี้ จึงทำให้เจ้าตัวยังคงได้รับเลือกให้ขยับขึ้นมาแข่งขันในรุ่นกลางอย่าง Moto2 เมื่อปี 2017 ภายใต้สังกัด Pons Racing ซึ่งผลงานของเขาในฤดูกาลนี้ก็ยังคงทรงตัวด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 7 ในการแข่งขันสนามแรก และเก็บคะแนนด้วยการเข้าเส้นชัยในกลุ่ม Top 10 ได้อีกเพียง 5 ครั้ง จึงทำให้ยังคงจบฤดูกาลด้วยอันดับ 13 เช่นเดิม

ต่อมาในการแข่งขัน Moto2 ปี 2018 เขาก็ย้ายไปอยู่ภายใต้สังกัด Speed Up Racing ซึ่งแม้ในปีนี้ เขาจะไม่สามารถเปิดหัวในการแข่งขันแรกของปีได้ดีเท่าไหร่นัก เพราะเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 20 ตามด้วยอันดับที่ 22 ในการแข่งขันสนามที่สองของฤดูกาล แล้วการแข่งขันที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาอยู่ในอันดับ Top 10

ทว่าในการแข่งขันปีเดียวกันนี้ Quartararo กลับสามารถคว้าชัยชนะให้กับตนเองในเวทีระดับโลกเป็นครั้งแรกได้ ณ สนามคาตาลุนญ่า ประเทศสเปน แล้วยังคว้าอันดับสองได้อีกครั้งในเอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมถึงคว้าอันดับ 5 ได้อีกสองครั้ง ในไทย แล้วก็มาเลเซีย

ซึ่งแม้ในภาพรวมมันจะทำให้เขามีคะแนนสะสมเป็นอันดับ 10 ตอนจบฤดูกาล แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ทีมรองทีมใหม่ของ Yamaha ในปี 2019 อย่าง Petronas Yamaha SRT เลือกเขาให้ขึ้นมาแข่งในรุ่น MotoGP ในปีถัดไป

โดยสำหรับตัวแข่งที่ Fabio Quartararo ต้องใช้ลงสู้ศึก MotoGP ปี 2019 นั้น อันที่จริงแล้ว ก็ถือว่าเป็นรถที่มีสเป็คเป็นรองพอสมควร เพราะมันคือรถสเป็คปี 2018 แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน คือด้วยความที่มันเป็นรถสเป็คปีเก่า จึงทำให้มันมีความสเถียร และสามารถดึงข้อมูลจากปีก่อนมาใช้ปรับตัวให้เข้ากับตนเองได้อย่างเต็มที่มากกว่า

และนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่การข้ามมาแข่งในรุ่นใหญ่เป็นปีแรก เพราะถึงแม้ใน 6 สนามแรก เจ้าตัวจะไม่ได้เข้ามาเฉียดโพเดี้ยมเลย แต่เขาก็กดเวลาในรอบควอลิฟายเพื่อเอาตำแหน่งกริดสตาร์ทดีๆได้หลายครั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่สนามที่ 7 ของฤดูกาลเป็นต้นไป เขาก็สามารถคว้าโพเดี้ยมในรุ่นใหญ่ให้กับตนเองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับสองที่คาตาลุนญ่า ซึ่งเป็นสนามเดียวกันกับที่เจ้าตัวคว้าแชมป์สนามครั้งแรกในการแข่งขันระดับโลกได้เมื่อปีก่อน ตอนที่ยังแข่งในรุ่น Moto2

หลังจากนั้น Quartararo ก็คว้าโพเดี้ยมได้อีกถึง 6 ครั้ง โดยในหลายครั้งก็เป็นการวาดลวดลายแย่งอันดับกันไปมากับแชมป์โลก 7 สมัยในเวลานั้นอย่าง Marc Marquez และครั้งที่ดุเดือดที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นการแข่งขันในประเทศไทย ที่บี้กันจนถึงรอบสุดท้าย ซึ่งแม้เขาจะคว้าชัยชนะไม่ได้ แต่ในครั้งนั้นเขาก็ได้ใจจากเหล่าสาวก Yamaha ไปเต็มๆ ก่อนที่จะเก็บคะแนนสะสมเป็นอันดับ 5 ของตารางตอนปิดฤดูกาล

ถัดมา ในปี 2020 ด้วยผลการแข่งขันในปีก่อน จึงทำให้คราวนี้ Quartararo ได้รับสิทธิ์ในการใช้รถโรงงาน (สเป็คล่าสุด) ลงแข่งอย่างเต็มฤดูกาล เพื่อทดสอบว่าเจ้าตัวเหมาะสำหรับการทำหน้าที่ในขั้นที่สูงกว่าหรือไม่ ? เพราะเขาได้รับการประกาศตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า ในการแข่งขัน MotoGP ปีหน้า เขาจะได้ขึ้นไปอยู่ทีมโรงงานแทนตำนานแชมป์โลก 9 สมัยอย่าง Valentino Rossi

ซึ่งมันก็เหมือนจะส่งผลดีในช่วงแรก เพราะเขาสามารถคว้าชัยชนะให้กับตนเองในรุ่นใหญ่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่สนามเปิดฤดูกาล ซึ่งคราวนี้ไปจัดที่เฆเรซ ประเทศสเปน เนื่องจากปัญหาเชื้อไวรัสระบาด ไม่ได้จัดที่กาตาร์ แถมในการแข่งขันเรซที่สอง ซึ่งยังคงจัดในสนามเดิม เจ้าตัวก็ยังคว้าชัยชนะเอาไว้ได้อีก เรียกได้ว่าเปิดฤดูกาลมาแบบเฉิดฉายสุดๆ

อย่างไรก็ดี ในการแข่งขันอีก 12 เรซถัดมาจนจบฤดูกาล ปรากฏว่าด้วยปัญหาตัวแข่งที่ไม่สเถียร จึงทำให้เจ้าตัวยังไม่สามารถหาจุดที่ลงตัวกับรถได้ไปอีกหลายสนาม และจบการแข่งขันในปีดังกล่าวด้วยอันดับที่ 8 ของตารางคะแนนสะสมไปอย่างน่าเสียดาย

พอเข้าสู่การแข่งขันปี 2021 ด้วยภาระหน้าที่ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการเป็นตัวแทนของ Valentino Rossi เพราะเก้าอี้ในทีมโรงงานของ Yamaha ที่ Fabio Quartararo ได้มา ต้องแลกกับการให้ตำนานแชมป์โลก 9 สมัย โยกไปอยู่ทีมรองเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

นั่นทำให้ใครหลายคนคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักบิดกดาวรุ่งหมายเลข 20 รายนี้ จะสามารถทำผลงานได้ดีมากพอ จนคุ้มค่าสำหรับการเสียตำนานที่มีผู้ติดตามหลักสิบกว่าล้านคนทั่วโลกติดตามออกจากทีมโรงงานไป

และซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดเพราะในการแข่งขันสนามที่ 2 และ 3 ของฤดูกาล เขาก็สามารถคว้าชัยชนะให้กับตนเองได้ในทั้งสองสนาม แม้ว่าจะมีอาการอาร์มปั๊ม เข้ามาแทรกอย่างหนักในช่วงเวลาเดียวกัน

และหลังจากต้องแข่งด้วยอาการบาดเจ็บหลังผ่าตัด จนทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 13 ณ สนามเฆเรซ ซึ่งเป็นสนามที่ 4 ของฤดูกาล ต่อจากนั้น Quartararo ก็สามารถขึ้นโพเดี้ยมได้เป็นว่าเล่นถึง 10 สนาม โดยมีถึง 5 สนาม ที่เป็นการคว้าชัยชนะให้กับตนเอง

ท้ายที่สุด เจ้าตัวก็สามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกประจำศึก MotoGP ปี 2021 ได้ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล จากการแข่งขันเรซที่สอง ของสนามมิซาโน่ ประเทศอิตาลี ในฤดูกาลนั้น เพราะคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Francesco Bagnaia เกิดพลาดล้มจนทำให้แต้มขาด ไม่สามารถตีตื้นได้ทันตอนจบฤดูกาลแน่นอนแล้ว

เช่นเดียวกัน ในการแข่งขัน MotoGP ปี 2022 เหล่านักแข่งในซุ้ม Yamaha ต่างก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องพละกำลังของตัวแข่งเช่นเคย แต่ด้วยฟอร์มที่กำลังเข้าฝึกของ Fabio Quartararo ที่หากมีสมาธิแล้ว ก็จะคุมตัวแข่ง YZR-M1 ได้นิ่งอย่างกับรถราง จึงทำให้ในตอนนี้ ก่อนที่จะมีการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกในประเทศไทย เขายังคงมีคะแนนสะสมเป็นอันดับหนึ่งของตารางอยู่

Fabio Quatararo อาจยังไม่ทันได้ถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่มาสานต่อตำนานของ Valentino Rossi ภายใต้สีเสื้อ Yamaha ได้อย่างเต็มสูบเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าตัวยังถือว่าเป็นนักบิดรุ่นใหม่ ที่พึ่งก้าวเข้ามาสู่การแข่งขันระดับพรีเมียร์อย่าง MotoGP เพียงไม่นาน

แต่ด้วยผลงานที่โดดเด่นตั้งแต่ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักบิดรุ่นใหญ่สุดปีแรก แล้วยังสามารถคว้าแชมป์โลกในการแข่งขันฤดูกาล 2021 ปีล่าสุดได้อีก จึงเรียกได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างโดดเด่นไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับตัวเขา

และหลังจากที่การแข่งขัน ThaiGP ต้องเว้นว่างไปกว่า 2 ปี ในที่สุด Fabio Quartararo ก็จะได้กลับมาวาดลวดลายให้ชาวไทยได้รับชมกันอีกครั้ง ว่าแชมป์โลก MotoGP คนล่าสุดจะมีดีอย่างไรบ้าง รอชมกันได้เลยในระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 2 ตุลาคม นี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.