Toyota ได้ชื่อว้่าเป็นผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์ ที่มีรถยนต์หลากหลายประเภทให้ลูกค้าได้เลือกใช้อย่างครอบคลุม และเพื่อเป็นการพิสูจน์เรื่องนี้ ทางค่ายจึงได้มีการเชิญสื่อฯมวลชนให้ร่วมกิจกรรม Lifestyle Test Drive ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 กรกฏาคม ที่ผ่านมา
ก่อนอื่น กิจกรรม Lifestyle Test Drive ในครั้งนี้ ทาง Toyota มีจุดประสงค์คือ ต้องการให้สื่อมวลชน ได้ทำการทดสอบขับรถไปทำกิจกรรมต่างๆที่ทางค่ายจัดไว้ให้ ซึ่งหลักๆแล้วก็จะเป็นกิจกรรมเชิงขับรถท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดแบบมนุษย์ครอบครัว ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหญ่ที่สุดของทางค่ายนั่นเอง
แต่ใช่ว่ารถทุกคันที่ทาง Toyota จัดมาให้ในทริปครั้งนี้ จะเป็นรถยนต์ครอบครัวที่เน้นการขับสะดวกสบายเหมาะสำหรับการนำไปเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวะโดยกำเนิดทั้งหมดเสียทีเดียว
เพราะในกลุ่มรถที่ทางค่ายจัดไว้ให้ แล้วเข้าข่ายรถครอบครัวมากที่สุดเอาจริงๆ ก็มีแค่เพียงเจ้า Toyota Sienta เท่านั้น แม้ว่าในความเป็นจริง มันจะเป็นรถครอบครัวขนาดไม่ใหญ่โต ที่เหมาะสำหรับการพาลูกๆออกเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนในวันทำงาน พากันไปเดินห้างสรรพสินค้า ไม่ก็พาคุณปู่ คุณญ่า คุณตา คุณยาย ไปไหว้พระในวัดซึ่งครอบครัวเคารพนับถือในเขตเมืองหรือในตัวจังหวัดเป็นหลักมากกว่า
ขณะที่ตัวรถรุ่นอื่นๆซึ่งอยู่ในทริปเอง ก็เรียกได้ว่าคงไม่ได้มีใครซื้อด้วยโจทย์การพาครอบครัวไปท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเป็นหลักแน่ๆ เพราะจะประกอบไปด้วย
- Toyota Altis HEV Premium
รถซีดานที่เหมาะสำหรับมนุษย์วัยทำงาน ซึ่งอยากยกระดับตนเองจากการใช้รถอีโคคาร์ที่ดูเน้นความประหยัดเป็นหลัก ไปสู่การใช้รถยนต์นั่งกลุ่ม C-Segment ที่ให้ทั้งความมั่นใจ และความสะดวกสบายที่มากกว่าจากตัวถังที่ใหญ่ขึ้น และในขณะเดียวกันก็ไม่กินน้ำมันมากไป จนต้องพะวงกับค่าน้ำมันที่สูงปรี๊ดในปัจจุบัน
ซึ่งหากถามว่ามันสามารถนำไปใช้เดินทางไกลได้มั้ย ก็ต้องบอกว่าได้ แต่ด้วยความเป็นรถเก๋ง 4 ประตู สุดท้ายมันก็ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางมากนักสำหรับการใส่สัมภาระของครอบครัวที่มีกิจกรรมเยอะอยู่ดี
- Toyota Altis GR Sport
เรียกได้ว่ายิ่งเป็นรถที่มีจุดประสงค์ในการออกแบบ แหวกไปจากการใช้งานในครอบครัวมากขึ้นไปอีก เพราะด้วยรหัส GR Sport ที่ห้อยมา จึงทำให้ใภาพรวมแล้ว เจ้า Altis คันนี้ จะมาพร้อมกับระบบช่วงล่างที่กระด้างมากขึ้น ไม่ได้เน้นความนุ่ม แต่เน้นความหนึบในการควบคุมเป็นหลัก แถมเฉดสีการตกแต่งภายในเอง ก็คงไม่ได้ถูกใจผู้ใหญ่สายชิลเท่าไหร่นัก
ส่วนอีกคันคือ
- Toyota C-HR GR Sport
ที่ยิ่งหนักกว่าตัวรถรุ่นก่อนหน้าเข้าไปอีก เพราะตัวรถรุ่นนี้มีการระบุคอนเซ็ปท์มาตั้งแต่ตอนเปิดตัวเลยว่า มันคือรถสำหรับมนุษย์วัยทำงาน ที่ต้องการความเป็นสปอร์ตอเนกประสงค์ในการใช้งานจากภายในสู่ภายนอก ทั้งหน้าตาที่เห็นได้ชัดว่าพร้อมซิ่ง ภายห้องโดยสารในเอง ก็เน้นความกระชับ และแน่นอนว่า ด้วยรหัส GR ที่ห้อยท้ายมา ย่อมหมายความว่ามันยิ่งเป็นตัวรถที่ถูกขยี้ในเรื่องความสปอร์ตมากขึ้นไปอีก
และคันสุดท้ายคือ
- Toyota Camry 2.5 Sport
ซึ่งใช่ครับ ใครหลายๆคนอาจจะมองว่ามันต้องเป็นรถที่นั่งสบายมากๆแน่นอน และเราคงไม่เถียงกันในจุดนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่า ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ยังคงเป็นรถที่ออกแบบมาให้ใช้ขับจากบ้านไปทำงานเป็นหลักมากกว่า แค่เปลี่ยนจากพนักงานบริษัทธรรมดาๆ เป็นผู้บริหารระดับบนๆก็ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความหรูหรามากขึ้นไปอีกขั้นก็เท่านั้น
และมันก็คือรถทีทีมงาน Ridebuster จับฉลากแล้วได้กุญแจมาเพื่อขับเข้าร่วมทริปสำคัญในครั้งนี้นั่นเอง
แต่ก่อนจะไปไล่เรียงถึงรายละเอียดตัวรถ ที่เราได้ทำการทดสอบ เราจะมาไล่ถึงลักษณะกิจกรรม Lifestyle Test Drive ในครั้งนี้แบบคร่าวๆกันก่อน เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพถึงเส้นทางและบรรยากาศในการทดสอบครั้งนี้ นั่นคือ
ในเช้าวันจันทร์ ที่ 11 กรกฏาคม เวลา 7.30 น. ทาง Toyota ได้ทำการนัดหมายสื่อฯ ที่เข้าร่วมกิจกรรมให้เดินทางาพบกันที่จุดนัดหมายคือ ศูนย์กิจกรรม Toyota Alive บางนา เพื่อทำการบรีฟในเรื่องของรถที่สื่อฯต้องใช้ในการเดินทาง และกิจกรรมต่างๆที่ทางค่ายจัดไว้ให้
จนกระทั่งต่อมาในช่วงเวลา 9.00 น. เราก็ได้เริ่มออกเดินทางกันจริงๆ โดยการขับรถแบบยิงยาวจากจุดเริ่มต้น วิ่งเข้าทางหลวงมอเตอร์เวย์ ไปสู่หมายแรกคือ โรงเรียนพลูตาหลวง วิทยา อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยในระหว่างการเดินทาง ส่วนตัวผู้ทดสอบกับการได้ลองสัมผัส Camry 2.5 Sport เป็นครั้งแรก
เรียนตามตรงว่าความรู้สึกที่ได้ในทันทีที่ลองจับนั้นคอนข้างประทับใจเลยทีเดียว เพราะนอกไปจากหน้าตา ที่ไม่ได้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไปแล้ว งานตกแต่งภายในของมันเองก็ยังให้ความรู้สึกที่หรูหรากำลังพอเหมาะพอดี ไม่ดูเวอร์วังจนเลี่ยน โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวรถที่เราได้นำมาทดสอบนั้น ยังเป็นตัวล่างสุดที่เหมาะสำหรับการนำไปทำรถเช่า หรือรถรับส่งลูกค้าของโรงแรม(รถฟลีท)มากกว่า
ด้านความสะดวกสบายเอง ก็ถือว่าน่าประทับใจเช่นกัน เพราะด้วยตัวถังที่กว้างขวาง พื้นที่ระหว่างผู้โดยสาร ตัวเบาะนั่ง และคอนโซลต่างๆก็อยู่ในระดับกระชับกำลังดี ไม่ได้ดูอึดอัดเลยสักนิด ระบบความบันเทิงภายในรถ แม้จะมีลำโพงแค่ 6 ดอก แต่สุ้มเสียงก็ไม่ได้ฟังแล้วอู้อี้ ชุดจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้วที่ให้มา ก็รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ Apple CarPlay + Android Auto และ T-Connect แล้วเป็นที่เรียบร้อย จึงทำให้การขับใช้งานเป็นระยะทางไกลๆเรียกได้ว่าหายห่วง ทั้งผอนคลาย และไม่มีเบื่อง่ายๆแน่นอน
และถึงแม้ตัวรถอาจจะไม่ได้มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยขั้นสูงมากมายเท่าไหร่นัก เนื่องจากยังเป็นตัวรถรุ่นล่าง แต่ทุกอย่างก็ล้วนเพียงพอสำหรับการใช้งานขั้นพื้นฐานแล้ว ทั้ง ระบบเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) + เตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert), ระบบ ABS EBD BA VSC TRC และ HAC
ทว่าตลอดเส้นทางที่เราใช้นั้นระบบเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องทำงานเลย เนื่องด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ TNGA และช่วงล่างของตัวรถนั้นถูกเซ็ทติ้งมาค่อนข้างน่าประทับใจ เพราะถึงแม้มันจะติดความนุ่ม เน้นการซับแรงจากถนนได้หมดจดแทบไม่มีอาการกระแทกจากผิวถนน จำพวกรอยปะ ฝาท่อ สั่นมาถึงห้องโดยสารและพวงมาลัยเลยสักนิด
แต่มันก็เป็นความนุ่มที่มีความหนึบ ไม่ย้วยจนเกินไปเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง และตัวรถก็มีอาการโคลงกลางโค้งน้อยมาก เว้นแต่จู่ๆจะมีแอ่งกลางโค้งจริงๆ ขณะที่พวงมาลัยแม้จะไม่ได้เบามือมากนัก แต่ก็ทำให้การหักเลี้ยวแต่ละครั้งผู้ขับรู้สึกมั่นใจไปกับการไล่องศาการเลี้ยวมากกว่า เรียกได้ว่าเซ็ทมาแบบผู้ใหญ่จริงๆ
แน่นอน ด้วยการขาดออพชันจำพวกระบบความปลอดภัยขั้นสูง มันจึงยังคงไม่มีระบบ Adaptive Cruise Control มาให้ ดังนั้นนั่นก็อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกติดใจกันไปบ้าง แต่จากที่ลองใช้งานระบบ Cruise Control ของตัวรถในหลายๆจังหวะ นอกจากการแปรผันความเร็วตามรถคันหน้าที่ไม่สามารถทำได้ ที่เหลือในการรักษาความเร็วของรถตามจังหวะความชันต่างๆของถนนที่วิ่งผ่าน ก็ถือว่าค่อนข้างนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮากจนหน้ารำคาญแต่อย่างใด
ส่วนจุดหมายสำคัญของทริปนี้ อย่าง โรงเรียนพลูตาหลวง วิทยา อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ที่เราระบุไว้ในข้างต้น แท้จริงแล้วทาง Toyota ได้ตั้งใจที่จะให้เหล่าสื่อฯผู้ร่วมกิจกรรม ได้กลับเข้าสู่โรงเรียนอีกครั้ง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของระบบนิเวศในท้องทะเล โดยศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ ที่ตั้งอยู่ในโรงเรียน ภายใต้การให้ความรู้จาก คุณครูดำรงค์ สุภาษิต ที่มาเป็นวิทยากรในครั้งนี้ และยังเป็นผู้ที่อธิบายถึงการปลูกปะการังอย่างถูกวิธีให้กับเหล่าสื่อฯมวลชน ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมต้องทำในช่วงบ่ายอีกด้วย
แต่ก่อนที่จะไปปลูกปะการังในช่วงบ่าย ทาง Toyota ก็ได้พาเหล่าสื่อฯ ตั้งขบวนรถไปยังวัดช่องแสมสาร เพื่อสักการะ “พระสัมพุทธมหามุนีศรีคุณาศุภนิมิต” ให้เป็นศิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมทริปกันเสียก่อน ซึ่งแต่เดิม พระพุทธรูปองค์นี้ คือพระพุธรูปลงรักสีดำ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งโดยไม่มีหลังคาปกคลุมบนเขาเจดีย์ ชาวบ้าน ชาวเรือประมงและผู้ที่สัญจรไปมาจึงเรียกว่า “หลวงพ่อดำ” กันมาตลอด
ต่อมาด้วยพลังศรัทธาของชาวประมง และผู้ที่เคยขอพรและประสบโชคสำเร็จในพรที่ขอ ได้ร่วมกันสร้างวิหาร ตั้งแต่หลังคา ฝากั้น และบูรณะด้วยแรงศรัทธามาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันได้สร้างเป็นวิหารจัตุรมุข ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง และมีภาพปูนปั้นเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งหาชมได้ยากมากในยุคสมัยนี้ (อ้างอิง sattahipcity.com)
หลังจากศักการะหลวงพ่อดำ เหล่าสื่อฯก็ได้เดินทางกันไปยังร้านอาหาร เพื่อพักผ่อนและรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่ต่อมาจะได้เวลาของการลงทะเลเพื่อปลูกปะการัง ภายใต้การดูแลของ คุณครูดำรงค์ สุภาษิต กับเหล่านักเรียนของโรงเรียนพลูตาหลวง วิทยา ที่ได้รับการฝึกและคัดตัวมาอย่างดี เพื่อทำภารกิจการปลูกปะการังโดยเฉพาะ
เนื่องจากการปลูกปะการังนั้น ไม่ใช่แค่เพียงการนำก้านปะการังที่ยังมีชีวิตลงไปปักบนผืนทรายที่อยู่ใต้ทะเลเฉยๆเท่านั้น แต่จะต้องใช้ความระมัดระวังตั้งแต่การจับ และการปักก้านปะการังลงบนรางเพาะ ที่ต้องใช้ความรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ปะการังตายจากแสงแดด และอุณหภูมิจากร่างกายของมนุษย์ ไม่เพียงเท่านั้น ความลึกของที่ตั้งรางปะการังเองก็ต้องลึกพอให้มันสามารถเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย ดังนั้นผู้วางรางปะการังจึงต้องมีทักษะในการดำน้ำที่ดีพอนั่นเอง
และนั่นคือทั้งหมดของกิจกรรมหลัก ส่วนที่เหลือคือการขับรถเพื่อเดินทางไปยังที่พักในตัวเมืองพัทยา
โดยตลอดทริป ที่กินระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร อีกสิ่งที่ทำให้ Camry 2.5 Sport ดูจะทำได้ดีในการเดินทางไกลไมแพ้รถอเนกประสงค์ก็คือ ขุมกำลังของมัน ที่เป็นบล็อค A25A-FXB 4 สูบเรียง 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบ VVT-iE ซึ่งมีความจุ 2,487cc สามารถแสดงสมรรถนะได้น่าประทับใจมากเลยทีเดียว เพราะด้วยแรงม้าหลักสองร้อยกว่าตัว ทำให้การเค้นคันเร่งระหว่างเดินทาง ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายเลยสักนิด
เพราะแม้ตัวถังรถจะค่อนข้างใหญ่ และการเซ็ทติ้งกล่อง ECU จะออกแบบให้รถมีอัตราเร่งในช่วงความเร็วต่ำๆที่ไม่มุทะลุเท่าไหร่นักเพื่อความผ่อนคลายของผู้โดยสารตอนหลัง
แต่ด้วยการให้กำลังสูงสุดระดับ 209 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 250 นิวตันเมตร ที่ 5,000 รอบ/นาที แล้วยังส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด ทำให้การเรียกความเร็วจากย่านกลางตั้งแต่ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปจนถึงย่านความเร็วสูง ถึงสูงมากๆ กลับมีความต่อเนื่องและไหลขึ้นได้ยาวๆ
ขณะที่การลองเลี้ยงความเร็วให้อยู่ในระดับความเร็วเดินทางตามกฏหมายกำหนดเอง ตัวเครื่องก็ไม่ได้ใช้รอบสูงจนเกินไป การจะกดคันเร่งเพื่อเร่งแซงเองก็ทำได้ง่าย แทบไม่มีอาการรอเกียร์ และอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ก็ค่อนข้างน่าประทับใจ เพราะมีตัวเลขอยู่ที่ราวๆ 14-15 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น ถือว่าประหยัดใช้ได้เลยทีเดียว
แม้การร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ จะไม่ได้มีจุดประสงค์คือการเน้นจับสมรรถนะของตัวรถเป็นหลัก แต่เมื่อมองในภาพรวม มันกลับทำให้เราสามารถสัมผัสได้ว่า ไม่ว่าคุณจะใช้รถยนต์รุ่นใดของ Toyota ที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของคุณเป็นหลัก ก็สามารถนำไปใช้ขับเดินทางทำกิจกรรมต่างๆกับครอบครัว หรืออาจจะคนรู้ใจในช่วงวันหยุดได้เช่นกัน
โดยถึงแม้รถบางคันในทริปจะเน้นการใช้งานแบบสปอร์ตมากกว่าปกติ อย่างเช่นตัวรถ C-HR GR Sport ที่ผู้เขียนได้ลองขับตอนขากลับเป็นระยะสั้นๆ แต่จากความรู้สึกของตัวผู้ทดสอบเอง และพี่ๆสื่อท่านอื่นที่ร่วมทริปไปด้วยกัน ต่างก็รู้สึกสนุกสนานไปกับการได้ท่องเที่ยวด้วยรถยนต์เหล่านี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการเปิดประสบการณ์จากทาง Toyota ที่น่าประทับใจจริงๆ กับกิจกรรม Toyota Lifestyle Test Drive ครั้งนี้