แม้ Honda Jazz จะถูกถอนการทำตลาดไปจากประเทศไทยของเรา แต่มันก็ยังคงได้ทำตลาดต่อไปในบ้านเกิดภายใต้ชื่อ Honda Fit อยู่ และตอนนี้ตัวรถเจเนอเรชันล่าสุดของมัน ก็ได้รับการปรับโฉมอีกครั้ง แถมยังไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแค่เปลือกอีกด้วย
โดยสำหรับการปรับโฉมของ Honda Jazz หรือ Honda Fit เจเนอเรชันที่ 4 รุ่นปี 2023 ในครั้งนี้นั้น ถือว่าเป็นอีกครั้งที่มันสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ติดตามได้เป็นอย่างดี เพราะในคราวนี้ มันมาพร้อมกับรุ่นย่อยใหม่ ที่ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ Basic, Home, Luxe, Crosstar, และล่าสุด RS
เริ่มจากรุ่นล่าง นั่นคือรุ่น Basic กับรุ่น Home ที่ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องรายละเอียดภายนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือชุดกันชนหน้าใหม่ ที่มีการเพิ่มพื้นที่ชิ้นช่องดักอากาศทางด้านล่างให้กว้างขึ้น โดยที่ตัวดวงไฟคู่หน้าแบบ Projector LED ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นออพชันพื้นฐานสำหรับตัวรถรุ่นล่างสุดเป็นที่เรียบร้อย นอกนั้นในส่วนชุดล้อ ทั้งล้อแบบกระทะเหล็กครอบชิ้นพลาสติก และล้ออัลลอยด์ก็ยังคงมีลวดลายเหมือนเดิม
ส่วนรุ่นยกสูงสำหรับครอบครัวสายแคมป์รหัส Crosstars ก็มาพร้อมกับกันชนหน้าแบบใหม่เช่นกัน โดยในคราวนี้ทาง Honda ได้ทำการเปลี่ยนเอาชายล่างงานพลาสติกด้านที่ยื่นยาวทิ้งไป แล้วแทนช่วยชิ้นงานพลาสติกสสีอลูมิเนียมที่โค้งมน และดูถึกทนกว่าเดิมมาใส่แทน โดยที่ตัวกระจังหน้าก็เปลี่ยนใหม่จากแบบแถบนอน เป็นแบบตารางหกเหลี่ยม
ด้านรุ่นที่เป็นไฮไลท์สำคัญรหัส RS ซึ่งเป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดของตัวรถ Fit เจเนอเรชันที่ 4 ก็แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับงานตกแต่งภายนอกที่เน้นเพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตให้กับตัวรถ ด้วยกันชนหน้าที่มาพร้อมกับช่องดักอากาศขนาดมหึมา กระจังหน้าลายถี่ทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เสริมความดุดันด้วยสเกิร์ตข้าง และกันชนท้ายแบบมีลิปไล่ลม และชุดล้อกัดลายที่ดูรับกันกับหน้าตาของตัวรถเป็นอย่างดี
และนอกจากหน้าตาภายนอก ชิ้นส่วนภายในของมันเอง ก็ยังถูกปรับอารมณ์ด้วยการใช้วัสดุหุ้มหนังเดินตะเข็บด้านสีส้ม (ใช่ครับ สีส้ม ไม่ใช่สีแดง) โดยตัวพวงมาลัย ได้เปลี่ยนเป็นแบบ 3 ก้าน และยังมีแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ ซึ่งไม่ได้เอาไว้เปลี่ยนเกียร์ แต่เอาไว้ปรับความหน่วงของระบบ Regenerative braking ตามฉบับรถไฮบริด e:HEV และที่สำคัญยังมีปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Normal / Sport / Econ แยกออกมา รวมถึงช่วงล่างยังถูกปรับจูนใหม่เพื่อให้สมชื่อรหัส RS อีกด้วย
ด้านงานตกแต่งภายในอื่นๆเพิ่มเติมของตัวรถ ก็แทบไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไหร่นัก เพราะมันยังคงมาพร้อมกับชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full-Digital ขนาด 7 นิ้ว และชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว เช่นเคย แต่ในฝั่งระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือระบบ ADAS ทั้ง Blind spot information, Reversing assist, Traffic jam assist, และ Sudden acceleration control ต่างได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อให้พวกมันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่ขุมกำลังของมัน หากเป็นตัวรถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินปกติ ทาง Honda ก็ได้จัดการเปลี่ยนบล็อคเครื่องยนต์จากบล็อค i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร เป็น i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 118 PS ที่ 6,600 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 142 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที และยังคงส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ CVT พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองดีสุดที่ 18.5 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และลดลงเหลือ 16.6 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (*อัตราสิ้นเปลืองเปลี่ยนได้ตามรุ่นย่อย)
ส่วนตัวรถรุ่นที่ใช้ขุมกำลัง e:HEV ซึ่งจะมีให้เลือกในทุกรุ่นย่อย ตั้งแต่รุ่นล่างสุด จนถึงรหัส RS (ตัวรถ RS จะไม่มีรุ่นที่ใช้ขุมกำลังสันดาปภายในเพียงอย่างเดียวให้เลือก) ก็จะยังคงมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ที่สามารถทำแรงม้าได้ 106 PS ที่ 6,000-6,400 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 127 นิวตันเมตร ที่ 4,500-5,000 รอบ/นาที
แต่มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัว ที่ทำงานสลับกับเครื่องยนต์นั้น จะถูกปรับจูนใหม่ และให้พละกำลังมากขึ้น เป็น 123 PS ที่ 3,500-8,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 253 นิวตันเมตร ที่ 0-3,000 รอบ/นาที โดยมันจะส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ E-CVT พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองดีสุดที่ 30.2 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และดีสุด 25.4 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (*อัตราสิ้นเปลืองเปลี่ยนได้ตามรุ่นย่อย)
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Honda Fit 2023 ก็จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1,592,800 เยน หรือราวๆ 411,000 บาท ในรุ่น Basic ขุมกำลังเบนซิน ขับเคลื่อนล้อหน้า และแพงสุดคือรุ่น LUXE e:HEV พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่จะสนนราคา 2,664,200 เยน หรือราวๆ 689,000 บาท
ส่วนรุ่น RS ที่มีให้เลือกเพียงแบบเดียวเท่านั้น คือใช้ขุมกำลัง e:HEV พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ก็จะมีราคาวางจำหน่ายที่ 2,346,300 เยน หรือราวๆ 606,400 บาท