ราวกับว่านี่คือช่วงเวลาของการปล่อยเหล่ารถอเนกประสงค์ตัวแรงจากเหล่าผู้ผลิต และตัวรถโมเดลล่าสุดที่ถูกเผยโฉมออกมา ก็คือ 2024 Mercedes-AMG EQE อเนกประสงค์ไฟฟ้าคันใหม่ ที่พกม้าสูงสุด 687 PS แรงบิดอีก 1,000 Nm ซึ่งทุกท่านกำลังเห็นกันอยู่ในขณะนี้
2024 Mercedes-AMG EQE มาพร้อมกับงานตกแต่งภายนอก ที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่แตกต่างไปจาก Mercedes-EQE SUV ซึ่งเป็นร่างต้นของมันเลยสักนิด เว้นแค่เพียงชุดกระจังหน้าแบบทึบ ที่เปลี่ยนลวดลาย จากแถบดวงไฟกระเพื่อมเป็นเส้นโค้งจากโลโก้แบรนด์ ให้เป็นแบบซี่ตารางโครเมียมแนวตั้ง ตามฉบับรถจาก AMG
แล้วก็เปลี่ยนลายล้ออัลลอยด์ขนาด 21 นิ้ว ที่รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport EV MO1 หน้ากว้าง 275 มิลลิเมตร ทั้งสี่ใหม่ กับชุดจานเบรกขนาด 415×33 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก 6 พอท ทางด้านหน้า และ จานเบรกขนาด 378×22 ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก 1 พอท ทางด้านหลัง ก็เท่านั้นที่สามารถเห็นได้จากภายนอก
แน่นอน ไฮไลท์สำคัญที่แท้จริงของรถที่มาพร้อมกับรหัส AMG ย่อมเป็นเรื่องของขุมกำลัง โดยหากเป็นตัวรถ Mercedes-AMG EQE 43 4Matic SUV ซึ่งถือเป็นตัวเริ่มต้นของรหัสแรงนี้ ก็จะได้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด สำหรับขับเคลื่อนชุดล้อทั้งสี่ แล้วให้ตัวเลขกำลังสูงสุดรวมกันที่ 476 แรงม้า PS ซึ่งมากกว่าตัวรถ Mercedes-EQE SUV 500 ที่เป็นรุ่นท็อปสุดในไลน์อัพรุ่นปกติของมันอยู่ 68 ตัว แต่แรงบิดยังคงเท่ากัน ที่ 858 นิวตันเมตร
จากตัวเลขในข้างต้น จึงทำให้ EQE 43 รุ่นนี้ที่มีน้ำหนักราวๆ 2.6 ตัน สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 4.3 วินาที กับความเร็วสูงสุดซึ่งถูกล็อคเอาไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และด้วยกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่มากขึ้น จึงทำให้แบตเตอรี่ความจุ 90.6 kWh ของมัน ถูกเคลมระยะทางในการใช้งานไว้ที่ 431 – 488 กิโลเมตร
ส่วนรุ่นท็อปสุด Mercedes-AMG EQE 53 4Matic+ SUV ก็จะมาพร้อมกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ใหม่ ที่เกิดมาเพื่อใช้กับรถ AMG โดยเฉพาะตั้งแต่แรก (ไม่เหมือนกับตัว 43 ที่เอามอเตอร์ของ EQE รุ่นปกติมาปรับจูนใหม่) และด้วยการออกแบบระบบระบายความร้อน แผงวงจร หรือการออกแบบมัดไฟภายในใหม่ทั้งหมด
ไม่เว้นแม้แต่ชุดระบบส่งกำลังเองก็ถูกกำหนดสเป็คมาเพื่อมันโดยเฉพาะ จึงทำให้มอเตอร์คู่นี้สามารถส่งแรงม้าไปยังชุดล้อทั้งสี่รวมกันได้มากถึง 626 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 950 นิวตันเมตร พร้อมจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ทั้งหมดที่ไล่เรียงมา ยังเป็นแค่เพียงน้ำจิ้ม เพราะหากลูกค้าเลือกซื้อแพ็คเกจ “AMG Dynamic Plus” เพิ่ม มันก็จะมีการเพิ่มฟังก์ชันพิเศษให้กับตัวรถอย่าง “Race Start Mode” และ “Boost Mode” มาให้ด้วย และหากทั้งมอเตอร์และแบตเตอรี่ อยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการใช้งานอย่างเต็มที่ มันก็จะสามารถเค้นกำลังได้มากขึ้นไปอีกเป็น 687 PS กับแรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.5 วินาที กับความเร็วสูงสุดที่ขยับขึ้นไปเป็น 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทว่าเนื่องจากแบตเตอรี่ของมัน ก็ยังคงเป็นแบตฯลูกเดียวกันกับ EQE รุ่นอื่นๆ ที่มีความจุ 90.6 kWh จึงทำให้ระยะทางในการใช้งานของมันถูกเคลมเอาไว้ด้วยตัวเลขที่น้อยลง เหลือราวๆ 375 – 470 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะดูน้อย แต่นั่นก็ยังถือว่าเยอะกว่าคู่แข่งสายตรงอย่าง BMW iX M60 ที่เคลมระยะทางการใช้งานสูงสุด ไม่เกิน 450 กิโลเมตร อยู่ดี
นอกไปจากความเร็ว ระบบลูกเล่นต่างๆสำหรับการควบคุมตัวรถเอง ก็จัดเต็มด้วยเช่นกัน เพราะตัวรถ Mercedes-AMG EQE SUV มีระบบขับเคลื่อนที่น่าสนใจหลายรายการ ทั้ง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic / 4Matic+, ระบบ Rear-wheel steering, ระบบช่วงล่างถุงลม AMG Ride Control+พร้อมระบบแปรผันความหนืดในการยืดยุบของช่วงล่างกึ่งอัตโนมัติ Adaptive Damping System, ระบบเสริมแรงเบรก iBooster ที่ AMG ออกแบบขึ้นมาเองโดยเฉพาะ
ที่พิเศษขึ้นมาอีกนิด ใน EQE 53 ก็คือ มันจะมาพร้อมกับระบบ AMG Active Ride Control (คนละอย่างกับระบบ AMG Ride Control+) ซึ่งเป็นระบบที่จะคอยแปรผันความแข็ง-อ่อน ของเหล็กกันโคลงคู่หน้า และทางด้านหลัง ให้สัมพันธ์กับความเร็ว และแรงเหวี่ยงของตัวรถอยู่ตลอดเวลา ช่วยรักษาสเถียรภาพของตัวรถ ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องเข้าโค้งแรงๆ
และสุดท้ายระบบที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับรถไฟฟ้าก็คือ ระบบ AMG Sound Experience หรือระบบจำลองเสียงทั้งภายในห้องโดยสาร และภายนอกห้องโดยสาร ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับได้ทั้งโหมด “Balanced,” “Sport,” และ “Powerful” ซึ่งมันจะไม่ได้เปลี่ยนแค่เฉพาะเสียงในตอนย่ำคันเร่งเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนเสียงเอฟเฟ็คยามเปลี่ยนค่าต่างๆของตัวรถ หรือแม้กระทั่งเสียงตอนกดล็อครถ หลังจอดอีกด้วย
อีกสิ่งสุดท้ายที่ Mercedes-AMG EQE SUV แตกต่างออกไปจาก Mercedes-EQE SUV ตัวปกติก็คือ งานตกแต่งภายในห้องโดยสาร ที่แน่นอนว่าเมื่อเป็นรถรหัส AMG มันก็จะต้องได้รับการตกแต่งภายในที่เน้นโทนสีดำ-แดง เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นชุดเบาะนั่งหุ้มหนังเจาะรูระบายความร้อน, แผงคอนโซลก็เปลี่ยนมาหุ้มหนังสีดำ
แผ่นปิดคอนโซลกลาง ก็เปลี่ยนจากชิ้นงานลายไม้เจาะรูลายดาว เป็นแผ่นปิดชิ้นงานเคฟลาร์, และพวงมาลัยก็เปลี่ยนเป็นแบบเฉพาะของ AMG ซึ่งเป็นแบบขอบตัดล่าง ที่ให้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้น แม้แต่ตัวก้านภายในเอง ก็ยังดูดุดันกว่าเดิมเช่นกัน โดยที่ตัวชุดจอ Hyperscreen เอง ก็ยังคงมีมาให้พร้อมฟังก์ชันภายในที่ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก นอกไปจากฟังก์ชันย่อยของระบบควบคุมตัวรถที่เปลี่ยนไปอย่างที่เราได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้