หลัง 2023 Jeep Avenger ได้ถูกเผยโฉมเป็นครั้งแรกบนโลกออนไลน์ เมื่อต้นเดือนก่อน ตอนนี้ก็ถึงเวลาสักทีที่พวกเขาจะเผยโฉมคันจริงของมันออกมา พร้อมเปิดเผยสเป็คโดยคร่าวๆของตัวรถให้ผู้ที่สนใจได้จับตาดูกัน
2023 Jeep Avenger มีกลุ่มลูกค้าคือเหล่าผู้ใช้ชาวยุโรปเป็นหลัก จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักที่มันถูกเผยโฉมจริงเป็นครั้งแรกในโลก ที่งาน 2022 Paris Motor Show เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งหากมองจากภายนอก เราจะเห็นได้ว่า แม้มันคือรถยนต์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยียุคใหม่ แต่มันก็ยังคงมาพร้อมกับจุดขายดั้งเดิมตามฉบับรถจาก “จี๊ป”
เริ่มตั้งแต่ชุดกระจังหน้าแบบ 7 ช่องเหลี่ยมทางด้านหน้า ขนาบข้างด้วยโคมไฟ LED ครอบดวงไฟสีรมดำ, ชิ้นแก้มข้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังเห็นเป็นมัดกล้าม สัดส่วนชัดเจน เสริมความสะดุดตาด้วยชุดล้ออัลลอยด์กัดลาย ขนาด 18 นิ้ว และงานหลังคาสีดำ ตัดกับครึ่งล่างของตัวถังแบบทูโทน
นอกจากนี้ ในส่วนการใช้ชิ้นงานตามขอบซุ้มล้อ ด้านข้างลำตัวรถ หรือแม้แต่ที่กันชนหน้าหลัง ที่เป็นชิ้นงานพลาสติกดำด้านทั้งหมด ทาง Jeep ก็ระบุไว้ว่ามันถูกออกแบบมา เพื่อปกป้องตัวรถจากการชนที่ความเร็วต่ำ ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทวีปยุโรปโดยเฉพาะ เมื่อประกอบกับการออกแบบให้ตัวรถมีความสูงใต้ท้องรถที่มากถึง 200 มิลลิเมตร กับองศามุมปะทะ 20 องศา กับมุมจากที่มากถึง 32 องศา จึงทำให้มันกลายเป็นรถ B-SUV ที่พร้อมลุยมากกว่าใครในคลาสอย่างแท้จริง
ด้านงานตกแต่งภายใน แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็น่าสนใจด้วยกรอบแผงคอนโซลแนวนอนที่ถูกทำสีแบบเดียวกับภายนอกตัวรถ โดยช่องเก็บของทางฝั่งผู้โดยสาร สามารถจุของได้มากถึง 34 ลิตร และตรงกลางคอนโซลจะเป็นที่ตั้งของชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 10.25 นิ้ว ที่ถูกติดตั้งแบบ Free-Standing หรือลอยตัวจากแผงคอนโซล ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านทั้งระบบ Apple CarPlay และ Android Auto
ส่วนตัวหน้าจอมาตรวัด ก็เป็นแบบ Full-Digital ขนาด 7 นิ้ว ขณะที่พวงมาลัยเป็นแบบขอบตัด เพื่อความทันสมัย และสะดวกสบายในการขึ้นนั่งของผู้ขับ
นอกจากนี้ ในด้านลูกเล่นต่างๆของตัวรถ ก็ให้มาค่อนข้างครบครัน ทั้งเซนเซอร์กะระยะรอบคัน 360 องศา, กล้องมองหลัง พร้อมมุมมองแบบ “Drone View” โดยที่ในฝั่งระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือระบบ ADAS ก็มีทั้งระบบขับอัตโนมัติ ระดับ 2, ระบบ Traffic Jam Assist, ระบบ Blind Spot Monitoring, ระบบ Adaptive Cruise Control, Lane Centering, และ Active Park Assist เสริมด้วยระบบ Hill Descent Control กับโหมดการใช้งานอีก 6 รูปแบบ ได้แก่ Normal, Eco, Sport, Snow, Mud, และ Sand
และเนื่องจากตัวรถ Avenger ใช้พื้นฐานโครงสร้าง eCMP architecture แบบเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆที่อยู่ในเครือบริษัทแม่เดียวกันอย่าง Stallentis เช่น Peugeot e-2008, Citroen DS 3 E-Tens, และ Opel Mokka-e จึงทำให้มันมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 400 โวลท์ ที่สามารถทำแรงม้าได้สูงสุด 156 PS กับแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ติดก็ตรงที่มันมีไว้เพียงเพื่อขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าเท่านั้น ซึ่งใช่ครับ ตัวรถรุ่นนี้ยังไม่มีรุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะเป็นรถของ Jeep ก็ตาม
ด้านตัวแบตเตอรี่ ที่ติดตั้งเอาไว้ใต้ห้องโดยสาร ก็จะมีความจุไฟฟ้าที่ 54 kWh ซึ่งทาง Jeep ระบุว่ามันรองรับระยะทางในการใช้งานได้มากสุด 400 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP หรือหากเป็นการใช้งานในเมือง ที่มีความเร็วไม่สูงมากนัก ระยะทางก็จะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 550 กิโลเมตร
ส่วนความไวในการชาร์จ ก็จะรองรับแท่นชาร์จแรงดันไฟสูงสุด 100 kW ซึ่งทำให้มันสามารถชาร์จไฟจาก 20-80% ในเวลาเพียง 24 นาที หรือหากรีบจริงๆ ผู้ใช้ก็สามารถชาร์จไฟเพื่อการเดินทางกลับบ้านในรัศมี 30 กิโลเมตร ได้ภายในเวลา 3 นาทีเท่านั้น โดยที่หากเป็นแท่นชาร์จแบบ Wallbox ที่จ่ายกำลังไฟสูงสุดได้ 11 kW ก็จะสามารถชาร์จไฟรถจนเต็มได้ใน 5.5 ชั่วโมง
ทั้งนี้ทางค่ายยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่า พวกเขาจะทำการวางจำหน่าย Jeep Avenger ด้วยราคาเท่าใดกันแน่ เนื่องจากกำหนดการวางจำหน่ายที่แท้จริงของตัวรถ คือช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเราต้องมารออัพเดทข้อมูลกันอีกครั้งในภายหลังนั่นเอง