Kia AD

Home » “ออกรถ Tesla หนึ่งคัน” มี “ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม” อะไรอีกบ้างที่ต้องรู้ ?

Kia AD

สาระเรื่องซื้อรถ เคล็ดลับเรื่องรถ

“ออกรถ Tesla หนึ่งคัน” มี “ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม” อะไรอีกบ้างที่ต้องรู้ ?

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla ในไทย โดยบริษัทแม่ อาจทำให้หลายคนตื่นตาตกใจกับราคาเริ่มต้น ซึ่งดูย่อมเยากว่าที่ใครหลายคนคาดคิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่คุณยังจำเป็น(หรืออาจจะไม่ก็ได้)ที่จะต้องจ่ายไปเพื่อครอบครองเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์นี้กันอีก ว่าแต่มันจะมีอะไรบ้างล่ะ ?

ก่อนที่จะไปไล่เรียงถึงค่าเบี้ยประกัน ค่าจดทะเบียน และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เราจะขอเจาะไปที่ค่าใช้จ่ายในส่วนออพชันเป็นอย่างแรก เพราะอย่างที่ใครหลายๆคนพอจะทราบว่า แม้ตัวรถทั้ง Tesla Model 3 และ Tesla Model Y จะมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 3 เกรด โดยที่รุ่นบนสุดก็ต่างมีราคาที่สูงกว่า 2.5 ล้านบาทขึ้นไป

แต่มันก็ยังขาดในส่วนของออพชันระบบขับขี่อัตโนมัติ ที่เป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญที่ใครหลายๆคนอยากได้จากรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์นี้กันอยู่ ซึ่งในส่วนของการอัพเกรดออพชันนี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน ดังนี้

  • Autopilot แบบยกระดับ (EAP) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันย่อย คือ การนำทางเมื่อใช้ Autopilot (สำหรับการใช้งานบนทางยกระดับเท่านั้น), ระบบเปลี่ยนช่องจราจรอัตโนมัติ, ระบบ Autopark, ระบบ Summon และ Smart Summon (ระบบเรียกรถมารับอัจฉริยะ)

    ในส่วนออพชันนี้ จะต้องบวกค่าใช้จ่ายจากตัวรถเพิ่มขึ้นอีก 122,000 บาท
  • ความสามารถในการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (FSD) ซึ่งหลักๆแล้วจะมีฟังก์ชันพื้นฐานเหมือนกับออพชันแรก แต่มันจะได้รับการอัพเกรดในส่วนของกล่องสมองกล ที่ฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อที่ระบบจะได้สามารถประมวลผล และตัวโปรแกรมระบบขับขี่อัตโนมัติ สามารถทำงานด้วยการอ่านสัญญาณไฟจราจรได้ด้วย

    ในส่วนออพชันนี้ จะต้องบวกค่าใช้จ่ายจากตัวรถเพิ่มขึ้นอีก 244,000 บาท

ซึ่งระบบที่ว่านี้ เราสามารถเลือกซื้อเพิ่มได้ กับตัวรถทุกรุ่นย่อย ตั้งแต่ Standard, Long Range หรือ Performance และจะมีการบวกราคาเพิ่มจากราคาตัวรถขั้นต้น เท่ากัน ทั้งในส่วนของ Tesla Model 3 และ Tesla Model Y

นอกจากนี้ ในหน้าเลือกเฉดสีของตัวรถทั้ง Tesla Model 3 และ Tesla Model Y แต่ละเฉดสียังมีราคาไม่เท่ากันอีกด้วย เนื่องจากแท้จริงแล้ว ราคาตั้งต้นของตัวรถที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ของตัวรถทุกรุ่นย่อย คือราคาของตัวรถที่มาพร้อมกับเฉดสีเริ่มต้น คือ สีดำ เท่านั้น

ส่วนเฉดสีอื่นๆ ได้แก่ สีขาวมุกมัลติโค้ท, สีมิดไนท์ซิลเวอร์เมทัลลิก (สีเทา), และ สีน้ำเงินเข้มเมทัลลิก เฉดสีเหล่านี้ จะต้องบวกราคาเพิ่มขึ้นอีก 50,000 บาท

ขณะที่ตัวรถเฉด สีแดงมัลติโค้ท จะต้องบวกราคาเพิ่มขึ้นอีก 80,000 บาท

และออพชันสุดท้ายที่คุณสามารถเลือกปรับแต่งได้ ก็คือ ชุดล้อ ลาย Induction ขนาด 20 นิ้ว ที่ต้องบวกราคาเพิ่มอีก 80,000 บาท

แต่ออพชันสุดท้ายนี้ จะมีให้เลือกเฉพาะตัวรถ Tesla Model Y รุ่น Long Range เท่านั้น เพราะชุดล้อที่ว่า เป็นออพชันติดรถ สำหรับ Tesla Model Y รุ่น Performance อยู่แล้ว

ส่วน Tesla Model 3 ทุกรุ่นย่อย ไม่สามารถเลือกเปลี่ยนออพชันล้อได้เลย (อย่างน้อยก็ในการสั่งซื้อหน้าเว็บ)

นอกจากการเลือกออพชันต่างๆที่ไล่เรียงไปในข้างต้น ในวันรับรถ คุณยังต้องเตรียมเงินสำหรับดำเนินการในส่วนอื่นๆอีก ซึ่งบางรายการคุณอาจไม่ซื้อเพิ่มก็ได้แล้วแต่ชอบ ได้แก่

  • ค่าจดทะเบียนรถรวมดำเนินการต่างๆ : 9,000 บาท
  • ค่าประกันภัยชั้น 1 : ประมาณ 50,000 บาท ในปีแรก (เบี้ยประกันในปีถัดๆไปยังไม่มีข้อมูล)
  • Wall Box Charger ของ Tesla โดยตรง : ราคา 35,000 บาท (ไม่ต้องซื้อก็ได้ หากมองว่าไม่จำเป็น หรือที่บ้านมีแท่นชาร์จของรถไฟฟ้ารุ่นอื่น ที่หัวชาร์จใช้ร่วมกับรถ Tesla ได้อยู่แล้ว)
  • Tesla Emergency Charger Kit : ราคา 10,000 บาท (อุปกรณ์สำหรับชาร์จไฟฉุกเฉิน โดยเป็นการพ่วงจากเครื่องปั่นไฟขนาดเล็ก หรือปลั๊กไฟบ้านได้ ซึ่งมีติดรถไว้ย่อมอุ่นใจกว่า)

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.