ช่วงปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะกำลังพูดถึง รถยนต์ไฟฟ้า ว่าถ้าฉันมีโอกาส จะต้องคบหารถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ แต่กับหลายคน มันอาจจะยังห่างไกลด้วยราคา และราคาน้ำมันก็รังจะเพิ่มสูงขึ้น ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ในวันนี้ ไม่ว่า จะญี่ปุ่นและยุโรป จึงนิยมหันมาคบระบบ Mild Hybrid เพื่อให้ความประหยัดมากขึ้น
ระบบ Mild Hybrid คล้ายกับระบบไฮบริดที่เราพูดถึงกันมาในช่วงหลายปี ระบบนี้ ประกอบด้วยอุปกรณ์มอเตอร์ไฟฟ้า และ แบตเตอร์รี่ ที่เข้ามาเสริมแรงในการขับขี่ แต่อย่างที่ใครอาจ แปลความหมายว่า Mild อันหมายถึง ละมุน หรืออ่อนๆ ระบบนี้ ไม่ได้เน้นการให้กำลังหวือหวา มาก โดยมาก มันจะทำกำลังให้นิดหน่อย และเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
โดยมาก ระบบของทุกค่าย จะมีความเหมือนกัน คือช่วยในการถีบตัวในระยะแรก เวลาออกจากจุดหยุดนิ่ง รวมถึง ยังเสริมกำลังนิดหน่อย เวลาเร่ง เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อช่วยให้รถตอบสนองดีชั่วขณะ
ระบบนี้เริ่มต้นในทางฝั่งรถยุโรป และเริ่มขยายมาทางรถญี่ปุ่น ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่ระบบได้รับความนิยม ก็มาจาก ความง่ายต่อการใช้งาน และไม่ยุ่งยากเกินไปสำหรับลูกค้า ที่อาจไม่ชอบความสามารถ และข้อจำกัดของรถไฮบริด ในขณะที่แง่ของการดูแลรักษา ก็ไม่หนักกระเป๋ามากเกินไป เนื่องจาก ทั้ง มอเตอร์ และ ขนาดแบตเตอร์รี่ ที่นำมาใช้ ค่อนข้างเล็ก จึงมีค่าใช้ในยามต้องดูแลไม่หนักเกินไปนัก ไม่เหมือนระบบ Full Hybird หรือ Plug in Hybrid ที่จะใช้ แบตเตอร์รี่ใหญ่กว่า มาก
รวมถึง ด้วยการที่ระบบมีขนาดเล็ก นั้น ยังช่วยลดปัญหาทางด้านสมดุลน้ำหนัก ที่เปลี่ยนไป ในทางวิศวกรรม ซึ่งพบได้ในรถยนต์ไฮบริดหลายรุ่น ทำให้ รถยังมีความคล่องตัวสูงมาก ตอบสนองเหมือนรถ สันดาป หากมีความสามารถในการขับขี่และการตอบสนองมากกว่าเดิม อาจไม่มาก แต่มากพอจที่จะทำให้รู้สึกต่าง หาก พูดถึงรถรุ่นเดียวกัน ที่ไม่มีระบบดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ,ประเด็นหลักที่บริษัทรถยนต์ให้ระบบแบบนี้มา เนื่องจากต้นทุนถูกในการสร้างความประหยัดจากเครื่องยนต์ตัวเดิม เนื่องจาก เครื่องยนต์ส่วนใหญ่ จะมีการทำงานหนักในบางจังหวะ ได้แก่ การออกตัว และ เร่งแซง นอกจากนี้ เครื่องยนต์มักถูกติด โดยไม่จำเป็น ในยามเราจอดนิ่งอยู่กับที่ เช่นในภาวะรถติด
ระบบ Mild Hybrid สามารถเข้ามาแก้ไขประเด็นน่ากังวล เรื่องดังกล่าว ต่างๆได้ ตรงจุด เช่น ตอนออกตัว สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการถีบตัวช่วงแรก ลด การใช้อัตราเร่งจากเครืองยนต์เพียงอย่างเดียว เรื่องทำนองเดียวกันเกิดในตอนเร่งแซง
ส่วนในยามเดินเบาท่ามกลางรถติด ก็จะเป็นหน้าที่ของแบตเตอร์รี่ในการจ่ายไฟฟ้าแทน หากด้วยข้อจำกัด ด้านขนาดแบตเตอร์รี่จึง หยุดการทำงานได้ราวๆ 30-60 วินาที แล้วแต่สภาพอากาศ และการใช้ไฟภายในรถ ในเวลาดังกล่าวทั้งหมดทำให้ระบบเครื่องยนต์สันดาปเดิมทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากการวิจัยในต่างประเทศ มีรายงานว่า การติดตั้ง ระบบนี้เข้ามา จะเพิ่มประสิทธิภาพราวๆ 7-10% เท่านั้น ในภาพรวม แต่ถ้าคุณใช้รถในเมือง มีรายงานว่าประสิทธิภาพจะมากกว่านั้น ยกตัวอย่าง Suzuki รายงานว่าระบบ Smart Hybrid มีอัตราประหยัดเพิ่มขึ้นกว่า 25% สำหรับการขับขี่ในเมือง เมื่อเทียบกับรถรุ่นก่อนที่ไม่มีระบบไฮบริด ในรถยนต์ Suzuki Ertiga
และ ด้วยเครื่องยนต์สันดาป มีประเด็นการใช้งานกับในเขตเมือง นี่เอง เป็นเหตุให้บริษัทรถยนต์มองทางออกแก้ปัญหา โดยการเพิ่มระบบแบบนี้มาช่วยมากขึ้น
ปัจจุบัน รถยุโรป อย่าง Mercedes Benz, Audi ได้ลองเริ่มทำแล้ว ในรถยนต์ของพวกเขา ที่คิดว่ามีประสิทธิภาพในการสันดาปอยู่แล้ว และวันนี้ รถญี่ปุ่น เริ่มตามรอยมากขึ้น อาทิใน Suzuki Ertiga และ มิตซูบิชิ เอง ก็มีแผนแนะนำ ระบบคล้ายกัน ลงใน Mitsubishi Xpander ใหม่ ด้วย