Honda CR-V เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ ที่รู้จักของชาวไทย มาตั้งแต่ช่วสงยุค 90 การเข้ามาทำตลาด จากอดีต จนปัจจุบัน สร้างชื่อให้รถคันนี้ และ การเปิดตัว ล่าสุด Gen 6 เปิดตัวในงาน มอเตอร์โชว์ ก็ทำให้หลายคนสนใจ กับการเปลี่ยนไป ของยอดรถยนต์นั่งสำหรับครอบครัว ให้ความโดดเด่น สะดุดตา และน่าใช้ กว่ารุ่นเดิ
ยอดจองกว่า 2,000 คัน และยังเข้ามาอย่างต่อเรื่อง เป็นเครื่องการันตีว่า รุ่นใหม่ ได้รับความสนใจจากลูกค้า แทบจะทันทีที่เปิดตัววางจำหน่าย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งนี่คือ ตัวรถที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว และนับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ ทางฮอนด้า
หลังจากโดนแบรนด์จีนเข้ามากระทบไหล่ คู่แข่งรายสำคัญมีรถที่พร้อมตอบโจทย์ลูกค้า และเรื่องต่างๆ มากมายที่รุมเร้า จน ตัวตึง ครอสโอเวอร์ ดูจะนิ่งดูดาย ทำรถแบบเดิมมาขายอีหไม่ได้
การกลับมาของ Honda CR-V 2023 เริ่มต้นการพัฒนาภายใต้แนวความคิดว่า “Blown Away CR-V” ด้วยความต้องการของฮอนด้า ที่อยากจะยกระดับรถ CR-V ขึ้นไปอีกขั้น เหนือกว่า คู่แข่งในกลุ่มญี่ปุ่นด้วยกัน เข้าใกล้ความเป็นรถพรีเมี่ยม มากกว่าเดิม
ฮอนด้า ต้องการให้ผู้ใช้ รู้สึกพึงพอใจในการใช้งาน รถรุ่นใหม่ ทุกวัน และยังพกความตื่นเต้น ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วโลก ที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์คันใหม่ มาใช้งาน
แต่ภายใต้แนวคิดหลัก ทางฮอนด้า ก็มีแนวคิด ประหลาดๆ ในการสร้างรถที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการวางคอนเซปต์การพัฒนาทั้งหมด ให้มีแนวคิด 2 ด้าน อาทิ ภายนอกดูสปอร์ต แต่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง หรือ เป็นรถ Compact SUV แต่ รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน เป็นความท้าทาย ในการพัฒนารถรุ่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะซื้อรถรุ่นนี้ เริ่มผละจาก Gen X มา Gen Y และเบิกทางสู่ Gen Millenium เป็นความโหดหินพอสมควร ในการพัฒนารถให้ตอบลูกค้า
ตั้งแต่เปิดตัว จะเห็นได้ว่า ตัวรถ Honda CR-V ใหม่ ทุกรุ่น ถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต เริ่มจาก กระจังหน้าสีดำ Paino Black มาพร้อมกับ ล้อ ขอบ 18 นิ้ว และ สูงสุด 19 นิ้ว โดยในรุ่น Turbo ทั้งหมด จะได้ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Toyo Tire Proxes R45 ทั้งหมด เป็นมาตรฐานไปยัน รุ่นรองท๊อป ES e:HEV
มีเพียงรุ่น e:hev RS เท่านั้น ที่ให้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และเปลี่ยนมาใช้ยาง Michealin ขนาดหน้ากว้าง 235/55/R19 เป็นครั้งแรกที่ฮอนด้า ซีอาร์วี
เส้นสายงานออกแบบ แม้จะดูเรียบๆ เหมือน ยกระดับสู่ภาพลักษณ์ความสปอร์ตเท่านั้น ไม่ว่าจะกระจังหน้าสีดำ ล้อขนาดใหญ่ ตัวรถที่มุมเหลี่ยมสันในหลายจุด ไม่เหมือน CR-V ดั้งเดิม ที่ดูกลมๆ เส้นเรียบๆ เน้นไปยังภาพความหรูหรามากกว่า
ภายใต้ เส้นสายงานออกแบบ สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ทางฮอนด้า วางให้ตัวรถมีฟังชั่นมากกว่าความสวยงาม งานวิศวกรรมหลักอากาศพลศาสตร์ แอบถูกใส่เข้ามา โดยที่ผู้ใช้ก็ไม่ทราบมาก่อน อาทิ กันชนหน้า สามารถสร้าง ม่านอากาศ ในระหว่างการขับขี่ จากกันชนหน้า การปรับงานออกแบบ ช่วงด้านข้าง ให้ลม สามารถไหลเวียนไปยังด้านหลัง ได้รวดเร็ว และ การติดตั้งชุดบังลมทางด้านล่า งเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดในแง่ความเพรียวลม มากขึ้น ช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมัน ตลอดการเดินทาง รวมถึง ทั้งหมด ยังช่วยลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ในระหว่าวการเดินทางด้วย
แม้ว่าภายนอกจะดูสปอร์ต แต่ภายในห้องโดยสารกลับยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบาย ตามฉบับของ Honda CR-V เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม รถรุ่นใหม่มีการพัฒนาไปอีกขั้น โดยปรับเพิ่มความยาวตัวถังในภาพรวมอีก +81 มม.ระยะฐานล้อเพิ่ม +38 มม.และ เพิ่มความกว้างอีก 11 มม.
ทางฮอนด้า ยังให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยการปรับ ให้พวงมาลัย สามารถ เลื่อนสูงขึ้นได้อีก 3 องศา มุมมองกระจกบังลมหน้าเพิ่มอีก 4.4 องศา จนสัมผัสได้ถึงทัศนวิสัย ทันทีที่ขึ้นไปนั่งโดยสาร ตอนหน้า
ทางด้านการโดยสาร ทีมออกแบบ ให้ความสำคัญกับการโดยสารตอนหลัง ด้วยการพัฒนาให้เบาะนั่งโดยสารตอนหลัง มีความสามารถมากขึ้น เริ่มจาก เพิ่มพื้นที่ในการโดยสารตอนหลัง +190 มม. จากรุ่นเดิม และ ทำให้ เบาะแถว 2 สามารถปรับพนักพิงหลังได้ ถึง 8 ระดับ สามารถเลื่อนเอนได้เพิ่มถึง 10.4 องศา ซึ่งเมื่อเลื่อนแล้ว จะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และยังสามารถเลื่อนเบาะได้ เพื่อความสบายสูงสุด
ในส่วน รุ่นเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง ทางฮอนด้า ออกแบบ ให้มีความใหญ่เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ไม่ได้เหลือมากอย่างที่คิด สำหรับคนตัวใหญ่ หาก โดยสารเต็ม ทั้ง 7 ที่นั่ง ทางฮอนด้า ชี้ว่า เทียบดับรุ่นเดิม พื้นที่วางขา เพิ่ม +40 มม.ในแถว 2 และ แถว +5 มม.
ทำให้ในความจริง พอลงไปนั่งแล้ว จะพบว่า มันไม่ได้ใหญ่เว่อ มากอย่างที่หลายคนคิด เบาะนั่งแถว 3 เหมาะ กับผู้โดยสารตัวเล็กและเด็กมากกว่า
แต่จุดที่น่าสนใจ คือ ในงวดนี้ทางฮอนด้า ได้ปรับปรุง เรื่องการพับเปิดทางเข้า-ออก ในห้องโดยสารให้ดีขึ้น แต่ความจริง วิศวกร ฮอนด้า เผยกับเราว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ ตั้งโจทย์ทำ 3 แถว 7 ที่นั่งมาเยอะเท่าเดิม รวมถึง ใครที่ไต่ถามว่า ทำไม รุ่นไฮบริดไม่มี 7 ที่นั่ง
นั่นมาจาก คอนเซปต์ ในการพะัฒนา honda CR-V ใหม่ เน้นความสปอร์ตมากขึ้น พวกเขา จึงกังวล ว่าถ้าทำออกมา เป็น 7 ที่นั่ง จะไม่สามารถมอบการขับขี่แบบสปอร์ตได้ อย่างที่ควรจะเป็น จึงทอนลงเหลือเพียง 5 ที่นั่งดังเดิม ดั่งที่สมควรจะเป็น
แต่จุดที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวเลย คือห้องสัมภาระท้าย ที่ออกแบบให้พื้นต่ำ ถูกใจสายกิจกรรมอย่างเรา ที่ไม่ต้องยกของสูงมากนัก เวลาขนข้าวของขึ้นรถ ช่วยทอนแรง แถม ประตูท้ายไฟฟ้า ยังมีระบบ Walk Away Lock ช่วยเพิ่มความสะดวกกว่าเดิม
ทีเด็ดรุ่นไฮบริด ขับดีได้อารมณ์สปอร์ต
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ในหนนี้ มาลองขับ , ก็อยากจะเน้นไปที่เรื่องการขับขี่เสียมากกว่า รถรุ่นแรกที่เราได้จับ คือ Honda CR-V e:HEV RS รุ่นยอดนิยม ที่ทางฮอนด้าบอกว่า มียอดจองมากที่สุด ตั้งแต่เปิดตัว
ส่วนตัวผมไม่แปลกใจ ที่รถรุ่นนี้ จะมียอดจองมหาศาล เพราะเปิดผ้าคลุมครั้งแรก รถเด่นสะดุดตาอย่างมาก โดยเฉพาะ สี Canyon River น้ำเงินใหม่ หรือ จะเป็นการเอาสีสัน อย่างสีแดง Ignite Red เข้ามาตอบลูกค้า นี่ผมยังคิด ถ้า เอา เทา Sonic Grey มาอีกสี ลูกค้าสายสปอร์ตหลายคน คงปรบมือกันเกลียวล่ะครับ ท่านผู้อ่าน
เมื่อมันเป็น รหัส RS ก็ย่อมมีจุดแตกต่าง จากรุ่นอื่นอย่างชัดเจน อย่างที่เดาได้ รถถูกตบแต่งใหม้มีความสปอร์ตรอบคันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสีดำ ในหลายชิ้นงาน กันชนที่ทำสีหมดทุกจุด ไม่เหลือให้เป็นพลาสติดดำด้านอย่างในรุ่นเทอร์โบ
แต่ที่เด่นจริงๆ คือล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ช่วยเพิ่มความเต็มซุ้มให้รถสวยสง่า โดยเฉพาะในสีน้ำเงินใหม่ และสีแเง ที่ตัดสลับกับความเป็นสีดำ ช่วยให้รถ น่าใช้งมากขึ้น
ในห้องโดยสาร มีเพียง การตัดเย็บสีดำ เดินด้านแดง ที่เพิ่มเข้ามา อาจไม่รู้สึกมากถึง ความแตกต่าง ให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างที่ควรจะเป็น
ใต้เรือนร่าง รุ่นนี้ ใช้ระบบขับเคลื่อน 2.0 ลิตร e:HEV ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติม จาก Honda Civic e:Hev ที่เปิดตัวแีที่แล้ว ฮอนด้าปรับเครื่องยนต์เพิ่มเติมเสริมพลังขับ จนมีกำลังแรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร และ มีแรงม้าสูงสุด 207 แรงม้า จากการรวมพลังขับ ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์
จุดนี้เอง ที่แตกต่างจากระบบเดิม เนื่องจากระบบผสานพลังขับได้ ซึ่งเดิมทีทำไม่ได้ในรุ่นก่อน หรือแม้แต่ซีวิคเอง ก็ยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน
พลังแรงบิดเยอะและแรงม้าระดับน้องๆ รถสปอร์ต ถ้าจะถามผมว่า มันแรงมากไหม เอาตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. มาคุ ยก็ขอตอบตามตรงครับ ว่า งวดนี้ยังไม่ได้ลองวัด เนื่องจากไม่ใช่ในเส้นทางสถานทีที่เราคุ้นเคย และเชียงใหม่ อาจจะมีถนนที่เป็นทางขึ้นซึมๆ เนินน้อยๆ การวัดอัตราเร่งเลยอาจจะมีค่าผิดเพี้ยนก็เป็นไปได้
แต่ถ้าเอาความรู้สึกก็ยอมรับว่าพละกำลังของ Honda CR-V e:HEV จัดว่าเหลือเฟือ ออกตัวเหยียบคันเร่งปั๊บ พุ่งออกตัวไปทันที แอบมีให้หัวเราติดเบาะเบาๆ พอรู้สึกถึงพลังขับ อันเหลือเฟือของมัน
หนนี้ด้วยความตั้งใจความนุ่มนวลผสมผสาน ทาง ฮอนด้าจึงเซทให้บางจังหวะ เครื่องยนต์สามารถทำงานรอบต่ำช่วยออกตัว โดยเอาศัยการทดเกียร์ใหม่ในชุด E-CVT มีตัว Low Range ให้เครื่องยนต์มาช่วยในการขับล้อได้ในรอบต่ำ ไม่ต้องรอ เมื่อถึงจังหวะอย่างเดียว
การทำงานแบบนี้ ทำให้คุณสามารถดึงพลังขับทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาใช้ได้ การขับพร้อมกัน มักจะเห็นในจังหวะความเร็วต่ำ ไปจนถึงความเร็วปานกลาง มีนจึงมีลูกเล่นมากกว่า ระบบเดิม ที่ทำงานเพียงแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ข้องเกี่ยวระหว่างกัน
แม้ว่าพลังขับจะโดดเด่น จน เราสามารถเร่งแซง ขึ้นทางชัน ในอำเภอแม่ริม ได้อย่างสบาย รวมถึง ด้วยธรรมชาติของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีความสามารถแรงบิดเฉียบพลัน หรือ Instant Torque และ การไม่มีการทดเกียร์จริงจัง มีเพียง อัตราทดเฟืองท้าย ทำให้ การตอบสนอง ค่อนข้างทันอกทันใจ
อยากจะเหยียบตัดจังหวะแซงเมื่อไร ก็ทำได้เลยทันที ทุกเมื่อที่ต้องการ ทันทีที่เหยียบ การตอบสนองรถเป็นอย่างรวดเร็วเร้าใจ เป็นอ้วนพริ่วแห่งท้องถนน แต่ยังคงไว้ในความนุ่มนวล
ด้านระบบกันสะเทอน ในหนนี้ ที่ขับตัว RS ล้อ 19 นิ้ว เอ่ยตามตรงว่า ช่วงล่างออกกระเดียดไปทางความสปอร์ตค่อนข้างมาก ตัวรถนำเสนอความครบเครื่องในความหล่อ
แง่การสัมผัสถนน ก็ต้องแลกกับความตึงตังขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในความเร็วต่ำจะเก็บอาการถนนขึ้นมาสู่ห้องโดยสารค่อนข้างเยอะ ตามสไตล์ในล้อใหญ่ยางแก้มเตี้ยกว่าปกติ อาการนี้ จะทอนลงไป เมื่อใช้ความเร็วเดินทางตั้งแต่ 60-80 ก.ม/ช.ม. ความรู้สึกกระเทือนจะลดลงไปบ้าง
เมื่อใช้ความเร็วในการเดินทางปกติทั่วไป 90-120 ก.ม. ช่วงล่างจะเก็บอาการถนนขึ้นมาฟ้องค่อนข้างเยอะ เทียบกับตัวล้อ 18 นิ้ว ตัว RS จะอมความรู้สึกสปอร์ตมากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อใช้ความเร็วมากกว่านั้นช่วงล่างจะให้ความรู้สีกเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ส่วนในแง่การโดยสาร ก็พอไปได้ ไม่สะเทือนเท่า PPV แต่ก็ไม่นิ่มนวล แบบ CR-V ดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย
การเซทตัวช่วงล่าง แฝงด้วยความแน่นเฟอิร์มมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะในการขับขี่ โดยอาจจะบั่นทอนในเรื่องความสบายในการโดยสารไปบ้าง แต่ถ้าบ้านคุณ เป็นคนชอบสไตล์รถช่วงล่างแข็งแน่นมั่นใจ ฟีลรถยุโรป ช่วงล่างตัว RS นี่ใช้เลย กำลังลงตัว
อย่างไรก็ดี , จุดเด่น ที่สำคัญ ในตัว RS ที่น่าแปลกใจ จนต้องร้องว้าว!!! คือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ดั้งเดิม ทางฮอนด้า เซทระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำงานภายใต้แนวคิด Real Time AWD หรือ ตะทำ เมื่อพบว่าเกิดการลื่นไถล และต้องถ่ายกำลังไปยังล้อหลัง
แต่จากการเปิดเผยของวิศวกรฮอนด้า แทนที่จะใช้ วิธีการ ขับเคลื่อนล้อหน้า และส่งถ่ายขับเคลื่อนล้อหลัง ยามจำเป็น หนนี้ ทางวิศวกร เซทระบบ ให้มีความรู้สึกแบบ AWD จริง โดยปกติ จะขับเคลื่อน ในอัตราทด 60/40 และเมื่อจำเป็นจะเปลี่ยนกำลังขับเป็น 50/50 โดยอัตโนมัติ
ทำให้การตอบสนองต่อความรู้สึกมีความเปลี่ยนไปจากรุ่นเดิม โดยสิ้นเชิง
บนเส้นทาง อำเภอแม่ริม เป็นทีทราบกันดีว่า ถนน สองเลนสวน คราคร่ำด้วยโค้งน้อยใหญ่ ลัดเลาะ ไปยังสถานที่ท้องเที่ยวต่าง ผมขับ Honda CR-V ใหม่ ไปท่ามกลางการจราจร ใช้ความเร็ว 80-100 ก.ม./ช.ม.
ค้นพบว่า การควบคุมระบบ All Wheel Drive ของฮอนด้าในงวดนี้เปลี่ยนไป เดิมที ระบบของฮอนด้า จะเน้นการขับเคลื่อนล้อหน้า และ ถ่ายกำลังไปด้านหลัง เมื่อพบว่า เกิดอะการลื่นไถล หรือเกิด อาการล้อหมุนฟรี ดั้งเดิมเลย ทางบริษัท เคยชี้แจงว่าดูที่ ความเร็วหมุนของล้อ
งวดนี้ ระหว่างทางที่มีทางโค้งต่อเนื่อง ส่วนตัวด้วยความคุ้นเคยกับรถ AWD รู้สึกว่า ทางฮอนด้า ตั้งใจปรับระบบขับเคลื่อนให้มั่นใจทุกการเคลื่อนไหว ไม่ใช่รอลื่นไถล หรือเสียอาการแล้วเข้าช่วย แต่ทำตลอดเวลา เสริมความมั่นใจทุกการขับขี่
อาการของมันเวลาเข้าโค้งไม่เหมือน อาการรถขับหน้าที่จะยิ่งแหก หากเราใส่คันเร่งเพิ่มขึ้นไป รถจะมีอาการบานออกไปเรื่อย ด้วยอานิสงค์ ระบบAWD เวิร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่เราเล่าให้ฟัง
ระบบจะทำงานตอบสนอง โดยพารถจิกโค้งตั้งแต่เริ่มเข้าโค้ง และให้ความมั่นใจ ในระหว่างอยู่ในโค้ง การโคลงตัวน้อย ด้วยความสามารถในการแปรผัน ระหว่างด้านหน้าและด้านหลัง อย่างที่กล่าว ทำให้เราสามารถขับออกโค้งได้อย่าง รวดเร็ว
เมื่อประกอบ กับการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับกำลัง ทำให้การตอบสนองในการถ่ายกำลังแรงบิดไปด้านหลังค่อนข้างไวพอสมควร จนสามารถกดออกจากโค้งได้เร็ว
ถึงแม้อาการส่วนใหญ่ของระบบ AWD จะสามารถสัมผัสได้จากการขับขี่ในทางโค้ง แต่ความจริง ทางฮอนด้า ยังออกแบบระบบให้สามาถทำงานในหลายช่วยงการทำงาน เช่น ออกตัว , ในความเร็วสูง เพื่อช่วยตอบสมรรถนะในการขับขี่มั่นใจมากขึ้น
เท่าที่ขับ อาการจะเห็นชัดในช่วงใช้ความเร็วในระหว่างการเดินทาง รถจะค่อนข้างมั่นใจกว่ารุ่นเดิมมาก เมื่อเปลี่ยนเลน ในระกว่างใช้ความเร็ว
อันที่จริง ฮอนด้าบอกว่าการกระจายกำลังขับไปด้านหลัง ใช้ในช่วงออกตัวด้วย ถึงฮอนด้าจะบอกแบบนั้น ผมก็ต้องบอกว่า ยังไม่รู้สึกอย่างชัดเจน เนื่องจาก เราไม่ได้ ออกตัวจากหยุดนิ่งบ่อยมาก จนพอจะจับสังเกตุได้ชัดเจน
ลองนิด CR-V 1.5 Turbo EL
หลังขับรุ่น ไฮบริด ก็ได้เวลา จะโยกไปขับ รุ่นเครื่องยนต์เทอร์ดบ เรารับกุญแจ รุ่นท๊อปไลน์ Honda CR-V 1.5 Turbo EL จุดเด่นของมัน คือการเป็น 7 ที่นั่ง หนึ่งเดียวในรุ่น มีเพียงอย่างเดียว ที่ทำให้มันต่างจากรุ่น ES 5 ที่นั่ง จนถ้าคุณไม่ได้ใช้ 7 ที่นั่ง นานๆ ไปที จะแนะนำว่า รุ่น ES ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน
ใต้เรือนร่าง ทางฮอนด้า นำเสนอเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังขับสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ส่งลง ชุดเกียร์ CVT โดยในรุ่นนี้ นำเสนอระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD คล้ายในรุ่น RS เช่นกัน
เมื่อระบบขับเคลื่อนต่าง สิ่งที่แตกต่าง ย่อมเป็นการเซทช่วงล่างที่ออกแบบมารองรับสมรรถนะ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชืง ด้วย การไร้แบตเตอร์ , และมอเตอร์ น้ำหนัก จึงน้อยกว่าพอสมควร ทางทีมวิศสวกร ยืนยันว่า การเซทช่วงล่างรถทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกัน
ตลอดจน ด้วยการใช้ยาง Toyo Tire Proxes R45 แก้มสูงขึ้น เป็น 235/60/R18 ย่อมน่าจะทำให้เห็นความแตกต่างตัวรถอย่างชัดเจน
ด้วยการออกแบบมาเป็นรถเน้นเดินทางไกล เส้นทางทดสอบ จึงออกแบบ ให้ต่างจากทางตัวไฮบริด ถนนที่ใช้ เป็นเส้นทางไปเชียงราย ตอนนี้พัฒนาใหม่ เป็น 4 เลน ขึ้นเขา ขับสนุก มันส์ตลอดเส้นทาง
ผมรับช่วงขากลับ ในช่วงแรก ขับแบบย่องๆ สไตล์พ่อบ้าน อาการช่วงล่างออกแนวนุ่มนั่งสบาย ตามสไตล์ CR-V เหมือนที่เคยเป็นมาในตลอดหลาย เจนเนอร์เรชั่น
พอเราขับเร็วขึ้น อาการช่วงล่างจะเฟิร์มขึ้น ให้ความมั่นใจมากขึ้น มีความสปอร์ต เข้ามากอดคอให้ความรู้สึกตึงขึ้น แต่คนนั่งจะไม่รู้สึกว่ามันแข็งตึงตัง จนเกินงาม เอาเป็นว่าถ้าผู้โดยสารนั่งหลับ แล้วคุณแอบซิ่ง เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาดวยวาย ยามคุณแอบวาร์ป ระหว่างเขาเฝ้าพระอินทร์ ปล่อยให้คุณเป็นสารถีไปส่งปลายทางอย่างแน่นอน
สิ่งที่แตกต่างอย่างหนึ่งที่ผมจับได้ คือระบบ AWD แม้ว่าจะเป็นระบบเดียวกัน ออกแบบ มาตอบสนองแบบเดียวกัน ตามที่ทางฮอนด้าพูดบอกกับเรา เอาเข้าจริง ระหว่างรุ่นไฮบริด กับรุ่นปกติ เรารู้สึกได้ว่ารุ่นไฮบริดแอบตอบสนองดีกว่า เวลาเข้าโค้ง
อาจจะด้วยส่วนหนึ่งแรงบิดเยอะกว่า การตอบสนองมอเตอร์เร็วกว่า การใช้ชุดเกียร์และเครื่องยนต์ ตอนขากลับลงโค้งด้วยความเร็ว ผมรู้สึกว่า การเข้าโค้งมันน่าจะจิกดีกว่านี้ ถ้าเปรียบเมียบ ตัวเทอร์ดบ ดูจะมีจังหวะช้ากว่า ในการส่งกำลั
ล้อหลัง ด้วยเหตุผลบางประการ เราสัมผัสได้ในระหว่างการบินเข้าโค้ง กว่าล้อหลังจะเริ่มกริปเพิ่มความมั่นใจ ดูจะล่าช้า จนเราสัมผัสถึงคำว่า เสี้ยววินาที มีส่วนสำคัญ เมื่อขับรถทั้ง 2 รุ่น เปรียบเทียบกัน
แม้ว่าระบบขับสี่จะเป็นลองตัวไฮบริด แต่สำหรับสายซิ่ง ผมเชื่อว่า คุณจะถูกใจรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จอย่างแน่นอน ด้วยกำลังแรงบิดระนาบต่อเนื่อ งตั้งแต่ 1,700-5,000 รอบต่อนาที ทำให้มีแรงบิดใช้ยาว และกำลังแรงบิดขนาดนี้ก็มากพอแล้ว สำหรับการใช้งานทั่วไป
คุณสามารถขึ้นเขาและทางชันได้พริ้ว ไม่ขาดตอน มีอัตราเร่งมากพอจะซิ่งหนีรถกระบะดีเซลแต่งซิ่งได้ นั่นก็นับว่าพอใจแล้ว
แต่ว่า 190 ม้า กับแรงบิดขนาดนี้ จะพอต่อการใช้งานเมื่อคุณนั่งเต็ม และมีสัมภาระครบหรือไม่ ต้องรอเรานำกลับมาทดสอบอีกครั้ง
ถ้าถามผม ก็ตอบว่าเหลือเฟือแล้ว น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน กำลังที่ให้มา ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ขิงคู่แข่ง ในรถขนาดใหญ่ CR-V มีขนาดเล็กกว่า และเป็นเพียง 5 ที่นั่ง ผมว่าเหลือเฟือ
สิ่งเดียวที่น่ากังวลใจ กับรุ่นเทอร์โบ คือตัว เทอร์โบชาร์จเอง ต้องยอมรับว่า มีดอกาสา ที่มันจะเสียหายได้จากการใช้งาน ถ้าคุณดูแลรักษาไม่ดี ไม่เข้าศูนย์บริการ ใช้น้ำมันเครื่องเกรดต่ำ มีโอกาสา ที่มันจะซาโยนาระกลับญี่ปุ่น ได้ง่ายๆ และ ค่าซ่อมก็ไม่ถูก
ผมกล่าวประเด้นนี้ตามตรงกับทางฮอนด้า และได้รับการตอบรับว่า ในความจริงเชิงวิศวกรรม มีการออกแบบ ให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ 10-15 ปี แต่ส่วนประกอบสำคัญ คือ พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าว ่าใช้งานรถอย่างไรด้วย เป้นส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้
คำแนะนำ ของวิศวกร คือ ดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้า ศูนย์บริการนั่นเอง
Honda CR-V 2023 มีดีทั้งคู่ เลือกตามความชอบ
ผมลง จาก Honda CR-V ใหม่ มีน้องๆ ทีมงาน ฮอนด้า ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง ผมสรุปให้เขาฟัง แบบที่กำลังจะบอกคุณว่า มันเหมือน ไก่ทอด KFC ที่มี รถ Spicy และ Original
ในรุ่น e:HEV การวางจุดขายเป็นรถอเนกประสงค์ พรีเมี่ยม หรูหราทันสมัย พร้อมตอบโจทย์ในการใช้งาน ทำให้ตัวรถค่อนข้างจะ มีความไฮโซ กว่า CR-V ปกติ โดยเฉพาะตัว RS ที่ให้ความรู้สึกสแอร์ตพอควร แต่เชื่อว่ าสายครอบครัวบางค นอาจไม่ชอบ ความตึงช่วงล่างที่กระแทก กระเทือนไปบ้า งถ้าใช้งานในเขีตเมือง ที่ต้องผจญ งานสร้างรถไฟฟ้า ที่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร หรือ จะฝาท่อระบายน้ำ มันกลับยังทำได้ไม่ดีนัก
แต่ถ้าเรื่องพลังขับ ความประหยัด และตอบโจทย์การใช้งานอย่างครอบคลุม เรามั่นใจว่า นี่คือระบบขับเคลื่อนทีดีที่สุดในครอวโอเวอร์วันนี้ และยังไม่มีใครเทียบเคียงได้
ทางด้านรุ่นเทอรืโบ เหมือนการปรุงแต่งสูตรดังเดิม ให้ทันสมัยขึ้น หันมาใช้ เครื่องบล็อกเล็ก พร้อมเครื่องดูดฝุ่นเป่าบูสต์เข้าห้องเผาไหม้ ให้ความประหยัดขึ้น ลดค่าใช้ภาระทางด้านภาษีรายปี ให้กับลูกค้า
ยังเน้นมอบ ความสบายในการโดยสารในการใช้งาน และมั่นใจมากขึ้น ในความเร็วสูง ไม่รู้สึกเป็นเรือล่องมากเกินไป ผู้ขับขี่สนุก คนนั่ง ยังสบาย ครบโจทย์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถ้า ให้ผมเลือก ระหว่างเทอร์โบ และ e:hev ส่วนตัว ผมจะเลือกตัวเทอร์โบ เพระา เหลือเฟือกับการใช้งาน เมือเทียบกับราคาขายที่วางหมากเอาไว่
ถ้าอยากเจ็บแต่จบ ตัว e:HEV RS คือที่สุด ถ้าไม่เน้นในเรื่องต้องไปให้สุด e:HEV ES ก้น่าเล่นไม่แพ้กัน
แต่ด้วยการเป็นเพียง รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า อาจจะทำให้บางคนไม่สนใจ ทั้งที่มีราคาถูกกว่า จริงๆ ผมอยากให้ ฮอนด้าพัฒนารุ่น e:hev ES AWD ออกมา บางคนไม่ได้ต้องการ จะไป RS
ยิ่งใครใช้รถรวมๆ คันเดียว วิ่งทั้งรับส่งลูก ขับไปทำงาน และใช้ท่องเที่ยว e:HEV เป็นคำตอบความลงตัว เรื่องความประหยัด ที่มาเหนือชั้น
จนไม่แปลกใจที่ยอดจอง จะดีเป็นเทน้ำเทท่าแบบนี้