Home » 10 “ไอคอนนิคคาร์” ยุค Y2K EP.1 คันไหน ยอดรถในยุค 2000
รถมือสอง และ รถเก่า

10 “ไอคอนนิคคาร์” ยุค Y2K EP.1 คันไหน ยอดรถในยุค 2000

ถัดจากกระแส “เด็ก 90’s” ก็บูมกันต่อกับเทรนด์ “วัยรุ่นY2K” แล้วทำไม เราจะพูดถึงเหล่ารถที่โด่งดังในยุค 2000’s กันบ้างไม่ได้

วันนี้เราไปดูกันเลยดีกว่า ว่ามันจะมีรุ่นไหนที่วัยรุ่นมินเลนเนียมจะเห็นแล้วต้องกรี๊ด หรือ โตมากับ ความใฝ่ฝัน ที่สักวัน จะต้องอยากได้มาครอบครองบ้าง

1999-2009 Honda S2000

ย้อนไปในยุคปี 90’s ช่วงที่การทำรถสปอร์ตออกมาขาย ยังได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก ทาง Honda ก็ได้มีการเปิดตัว Honda Sport Study Model (SSM) Concept ออกมา โชว์วิสัยทัศน์ ว่าในตอนนี้ พวกเขากำลังพัฒนารถยนต์แนวสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนรุ่นใหม่ เพื่อสานต่อตำนาน Honda S-Series ที่หายไปหลังหมดยุคปี 70’s กันอยู่

ในที่สุด ปี ค.ศ. 1999 ทาง Honda ก็ได้มีการเปิดตัวร่างขายจริงที่พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้วของเจ้ารถต้นแบบที่ว่าออกมา และ ถ้าคุณเดาว่า มันคือ Honda S2000 …. คุณตอบถูกครับ

จุดขายของมัน ไม่ได้มีแค่เพียงหน้าตาที่สวยงาม แบบรถโรดสเตอร์เปิดประทุน หน้ายาวท้ายสั้นเท่านั้น

หาก ยังมาพร้อมกับจุดเด่นในเรื่องชุดโครงสร้างตัวถังแบบ X-Bone ทั้งความแข็งแรง และยังให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดี เสริมด้วยการออกแบบอัตราส่วนการถ่ายน้ำหนักหน้า-หลัง แบบ 50:50 ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ พร้อมเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป จึงทำให้มันเป็นรถที่มีสมดุลในการควบคุมสูง แม้จะเป็นรถขับหลัง

ความสนุกกว่า คือ ขุมกำลังของมัน เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง รหัส F20C แม้มีความจุเพียง 1,997cc แต่ด้วยการใช้ระบบวาล์วแปรผัน VTEC อันเลื่องชื่อ กับการออกแบบให้เป็นเครื่องยนต์ช่วงชักสั้น เน้นการรีดรอบ สามารถฟาดเรดไลน์ได้มากถึง 9,000 รอบ/นาที สามารถรีดแรงม้าได้สูงสุดถึง 250 PS ที่ 8,300 รอบ/นาที จาก เครื่อง N/A

นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในโรดสเตอร์คาร์ที่โดดเด่นแห่งยุค จนปัจจุบัน ราคาไม่อาจเอื้อม ใครมีครอบครองอยู่ สามารถ เก็บเป็นสมบัติให้ลูกหลานได้ แม้กระทั่งในทุกวันนี้ มันก็ยังมีดี สามารถสู้กับสปอร์ตคาร์ยุคใหม่ไซส์ไล่เลี่ยกันอย่าง Toyota GR86 / Subaru BRZ ได้สบาย

2007-2011 Honda Civic Type-R FD2

ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 90’s กันอีกครั้ง ช่วงเวลาดังกล่าว Honda ได้สร้างประสบการณ์ความฮือฮา และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับตัวรถ Honda Civic Type R รุ่นแรกรหัส EK9 ในฐานะรถบ้านทรงแฮชท์แบ็ก ขับหน้า แต่ถูกปรับแต่งมาอย่างจริงจังจนได้สมรรถนะในการขับขี่ที่สูงปรี๊ด

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงคราวของรุ่นน้องโฉมถัดมา กับรหัสตัวถัง EP3 แม้มันจะมาพร้อมกับขุมกำลังรุ่นใหม่ อย่างเครื่องยนต์ K20A ทว่ามันกลับไม่ได้มีเสียงตอบรับที่ฮือฮาเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ที่ขายได้น้อยกว่ากันเกือบครึ่ง

นั่นจึงทำให้ เมื่อถึงเวลาที่รถยนต์ตระกูล Civic ได้รับการปรับโฉมอีกครั้งสู่เจเนอเรชันที่ 8 เมื่อปี 2005 คราวนี้ทาง Honda จึงได้มีการแหวกแนว Civic Type R แตกไลน์ตัวรถออกมา จากเดิมที่มีเพียงรุ่นแฮชท์แบ็ค ซึ่งรุ่นที่ 3 จะใช้รหัสตัวถัง FN2 รอบนี้ก็มีตัวรถร่างซีดานขับหน้า สมรรถนะสูงรหัส FD2 ถูกสร้างขึ้นมาด้วย เพื่อลองตลาดใหม่ รวมถึง ด้วยคู่แข่ง อย่างซูบารุ และ อีโว ที่ทำตลาด ซีดาน ทางฮอนด้า จึงอยากลองชิมลางดูบ้าง

แน่นอน หากว่ากันในเชิงสมรรถนะ แม้ Civic Type R รหัส FD2 จะมีน้ำหนักที่มากกว่า โดยที่พละกำลังก็เพิ่มขึ้นมาเพียงนิดเดียว เป็น 225 PS ทว่านั่นกลับทำให้มันกลายเป็นรถ Type R ที่สามารถนำไปขับด้วยความเร็วสูงๆได้อย่างมั่นคงมากกว่ารุ่นพี่ๆ และเช่นเดียวกัน ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า ยาวกว่า กว้างกว่า บวกกับการออกแบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ปั้มเบรกใหญ่ขึ้น เพิ่มความแข็งแรงตัวถังมากกว่าเดิม

จึงทำให้มันเป็นรถ Type R ที่สามารถรักษาเสถียรภาพในโค้งทั้งความเร็วกลางและสูงได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นรถที่ได้ชื่อว่ามีสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีที่สุดของตระกูลไปโดยปริยาย

แม้ Honda Civic FD2 จะไม่ได้ถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่ด้วยความที่มันเป็นรถซึ่งใช้พื้นฐานร่วมกันกับ Honda Civic FD ที่วางจำหน่ายในบ้านเรา จึงมีหลายคน หลายสำนักแต่ง พยายามเบิกอะไหล่ หรือเบิกชิ้นส่วนรถทั้งคัน แม้กระทั่งเอาหัวรถท้ายตัดมาดัดแปลง เพื่อให้เจ้า Civic บ้านๆ มีความเป็น Type R

2003-2012 Mazda RX-8

จากความสำเร็จในการสร้างตำนานรถ JDM อย่าง Mazda RX-7 ค่ายซูมซูม (นิยามแบรนด์ในช่วงเวลาดังกล่าว) ก็มีแผนที่จะพัฒนารถสปอร์ตคาร์จาก RX-Series รุ่นใหม่ขึ้นมา แต่ด้วยความต้องการที่อยากจะยกระดับความพรีเมียมของแบรนด์ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น บวกกับการเข้ามาของ Ford ในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่คนใหม่ของแบรนด์ ที่อยากจะนำเอารถรุ่นนี้ไปทำตลาดในสหรัฐอเมริกาด้วย

จึงทำให้ตัวรถ Mazda RX-Series รุ่นใหม่ ที่ตอนแรก มีแผนจะทำให้มันเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กไม่แพ้รุ่นพี่ กลับเปลี่ยนไป กลายเป็นสปอร์ตขนาดกลางที่มีความใหญ่โตภายในห้องโดยสาร พร้อมประตูตู้กับข้าวอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mazda ในยุคนั้น (และกลายเป็นแบบบานประตูสามัญของรถกระบะตอนครึ่งในยุคนี้)

แม้จะเป็นรถรุ่นใหม่ แต่สาวก มาสด้าหลายคนผิดหวัง เมื่อมาสด้าตัดเทอร์โบชาร์จออกไป แล้วเน้นเล่นการเป็นเครื่องยนต์รอบสูง ด้วยการลดประเด้นเรื่องมลภาวะ ที่เริ่มบังคับใช้ในหลายตลาด จึงทำให้เครื่องยนต์ 13B-MSP Renesis เดิมๆไร้ระบบอัดอากาศของมัน สามารถทำแรงม้าได้เพียง 241 PS เท่านั้น (บางเวอร์ชันที่เป็นตัวเริ่มต้นสำหรับบางประเทศ มีแรงม้าเพียง 192 PS เสียด้วยซ้ำ)

ส่งผลให้มันกลายเป็นรถสปอร์ตที่อาจจะมีหน้าตาสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ มีความสะดวกสบายในการใช้งาน แต่กลับไม่ได้มีเรี่ยวแรงที่สามารถสร้างความสนุกได้มากพอเหมือนกับรุ่นพี่ RX-7 (จริงๆก็สนุกแหล่ะ แต่ไม่มากอย่างที่หลายคนคาดหวัง) แถมยังคงเส้นคงวา ในเรื่อง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงซด ระดับ เศรษฐีบ่อน้ำมันยังร้องจ้าก!!

อย่างไรก็ดี สิ่งต่างๆที่เป็นข้อเสียของมัน กลับกลายเป็นข้อดีทันที เมื่อมีเหล่านักซิ่งตัดสินใจนำเอาเครื่องยนต์ของมันมาอัพเกรดตามที่ควรจะเป็น ด้วยการใส่เทอร์โบเข้าไป หรืออาจจะใส่เครื่องยนต์ของรุ่นพี่แทน (ซึ่งดูเหมือนจะโมฯให้เข้ากับเทอร์โบง่ายกว่า)

ส่งผลให้เมื่อตัวรถที่หนัก แต่ก็ไม่มากนัก ได้ขุมกำลังที่แรงขึ้น คราวนี้มันก็กลายเป็นรถยนต์อีกรุ่นที่สามารถวิ่งในช่วงความเร็วสูงได้อย่างมีเสถียรภาพ แถมในความเป็นจริง จากที่ผู้เขียนได้หาข้อมูลมา ดูเหมือนว่ารูปแบบช่วงล่างเดิมๆของ RX-8 นั้น ก็ดีกว่า RX-7 อยู่แล้ว จึงทำให้มันกลายเป็นรถที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก

เรียกได้ว่าเป็นรถอีกคัน ที่ถึงไม่ทำก็วิ่ง แต่ถ้าอยากซิ่งก็พร้อมให้ทำ แห่งยุค 2000’s ที่ปัจจุบันนี้เชื่อว่าใครหลายๆคนก็เริ่มมองหากันแล้ว หลังจากที่รุ่นพี่ของมัน ได้กลายเป็น 4 จตุรเทพ ราคาทะลุฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อย

2005 BMW M3 GTR : NFS Most Wanted

BMW E46 ถือเป็นคอมแพ็คซีดาน มาสร้างความโด่งดัง ในตระกูล Series-3 ทั้งจากความสวยงามที่ลงตัวไม่แพ้รุ่นพี่ E36 ไม่ว่าจะเป็นรุ่นซีดาน หรือรุ่นคูเป้ แต่ที่โดดเด่นและโด่งดังที่สุด คือ BMW M3 GTR จากเกมแข่งรถอันดับหนึ่งของยุคในช่วงเวลาดังกล่าวอย่าง Need For Speed Most Wanted

BMW M3 GTR แท้จริงแล้ว ไม่ใช่รถที่มีไว้ขายให้กับบุคคลทั่วไป มันเป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงแข่งขันในศึก American Lemans Series หรือ ALMS หากด้วยกติกาของคณะกรรมการในปี 2001 ระบุว่ารถที่ถูกส่งเข้ามาร่วมแข่งขันจะต้องมีการขายจริงไม่น้อยกว่า 10 คัน ในระยะเวลาหนึ่งปี

และตัวแข่งที่อยู่ในรายการที่ว่านี้ต้องใช้เครื่องยนต์ V8 เป็นหัวใจหลัก นั่นจึงทำให้ทาง BMW ต้องทำ M3 GTR ร่างขายจริงออกมาด้วยตามข้อกำหนดข้างต้น พร้อมวางขุมกำลังที่ไม่เหมือน M3 E46 ทั่วๆไป นั่นคือหันไปใช้เครื่องยนต์ P60 V8 4.0 ลิตร กำลังสูงสุด 350 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร แทน (แต่ในตัวแข่งจริง เครื่องยนต์ลูกนี้จะสามารถปั่นแรงม้าได้ถึง 460 ตัว) ก่อนที่จะวางขายด้วยราคากว่า 250,000 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 8.6 ล้านบาท ถือว่าสูงมากในยุคนั้น

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่จุดกำเนิดที่ทำให้ M3 GTR จนเป็นที่รู้จัก เพราะกว่าเด็ก Y2K จะหลงไหลในรถคันนี้ ก็ต้องรอถึงปี 2005 ซึ่งเป็นปีที่เฟรนไชส์เกมแข่งรถ Need For Speed ออกภาคใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภาคที่ดีที่สุดของซี่รีย์ Most Wanted ออกมา โดยมี M3 GTR ร่างตัวแข่ง เป็นรถของตัวเอกประจำเนื้อเรื่อง

และด้วยความที่มันเป็นรถยนต์ ที่มีหน้าตาดุดัน สไตล์ตัวแข่ง ตั้งแต่แรก เพียงคันเดียวในเกม บวกกับสมรรถนะ(ในเกม)ที่ทั้งเร็วและคม จึงทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นเกมเมอร์สายเรซซิ่งในยุคนั้น ต้องรู้จักมัน BMW M3 GTR – NFS MW

*ตัวรถ M3 GTR สีน้ำเงิน คันจริงที่เห็นอยู่ในรูปนั้น แท้จริงแล้วเป็นรถ BMW M3 ที่ถูกนำไปดัดแปลง และตกแต่งให้เหมือนกับรถในเกม ไม่ใช่ M3 GTR โดยกำเนิดแต่อย่างใด

1999-2002 Nissan Silvia S15

ตระกูล Silvia ดั้งเดิมแล้ว เป็นตระกูลรถยนต์สปอร์ตขนาดเล็กขับหลังกลุ่ม S-Series ที่ Datsun ทำขึ้นมา ก่อนจะผนวกเข้ากับแบรนด์ Nissan คล้ายๆกับ Skyline ที่แท้จริงแล้วเป็นของ Prince แต่ถูกควบรวมเข้ามาใต้ชายคาเดียวกัน โดยมีตำแหน่งล่างกว่ารถสปอร์ตคาร์ขนาดกลางอีกรุ่นที่ Datsun วางจำหน่ายอยู่แล้วนั่นคือตระกูล Z-Series (แน่นอนว่าต่อมา Nissan ก็ทำสปอร์ต Z-Series ขายคู่ไปด้วยเช่นกัน)

หลังจากที่สานประวัติศาสตร์กันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ในที่สุดเมื่อถึงช่วงก่อนเข้าปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูสุดท้ายของรถสปอร์ตขนาดเล็กขับหลัง Nissan Silvia S15 ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชันที่ 7 ของตระกูลก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

แตกต่างจากรุ่นพี่รหัส S14 คราวนี้ S15 มาพร้อมกับตัวถังที่สั้น และเล็กลงกว่าเดิม พร้อมเส้นสายใหม่ ดูโฉบเฉี่ยว ดุดัน โค้งมน และสวยสดงดงามขึ้นมาก ตามฉบับรถยุคโมเดิร์น ที่แม้ทุกวันนี้หากได้เดินผ่าน บางคนก็อาจหลงผิดคิดว่ามันคือรถยุคปัจจุบันกันอยู่

นอกจากหน้าตาที่ดูหล่อเหลา แต่ด้วยความที่ตัวรถเล็ก และเบากว่าเดิม ทว่ายังคงได้ขุมกำลังสุดจี๊ดระดับตำนานอีกหนึ่งรุ่นอย่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบ 2.0 ลิตร SR20DET ซึ่งหากเป็นตัวรถรุ่น “Spec-R” ก็จะสามารถทำแรงม้าสูงสุดได้มากถึง 247 PS ที่ 6,400 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 275 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที

ส่งผลให้มันกลายเป็นรถยนต์ขับหลังที่ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดีไม่แพ้คู่แข่งรุ่นอื่นๆของต่างค่าย และด้วยเหตุผลเดียวกันข้างต้นนี้ จึงทำให้มันกลายเป็นรถที่เหมาะแก่การนำมาทำ “Drift Machine” มากที่สุด จนกลายเป็นหนึ่งใน “Whishlist” หรือ “รถที่ปราถนาสูงสุด” ของสายสไลด์ก้น ซึ่งเป็นการแข่งขันที่กำลัง’เริ่ม’นิยมในยุคปี 2000’s เลยก็ว่าได้

เหตุผลอีกประการที่ทำให้ Nissan Silvia S15 ได้รับความสนใจ ก็เป็นอานิสงค์จากบรรทัดที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้ จนทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในรถ “ไอคอนนิคคาร์” ประจำเฟรนไชส์หนังแข่งรถ(เหรอ?) ชื่อดังอย่าง “Fast&Furios” ในภาคที่ซึ่งตอนแรกสาวกเฟรนไชส์เกลียดกันมากที่สุด แต่ในปัจจุบันกลายเป็นภาคที่รักกันมากที่สุด (เพราะดูมีความเป็นหนังรถแข่งมากที่สุดแล้วจากทั้งหมด) อย่าง “Tokyo Drift”

ซึ่งนั่นก็คือ รถ Nissan Silvia S15 – Monalisa ที่(อิงตามเนื้อเรื่องในภาพยนต์) Han ได้สร้างมันขึ้นมา ด้วยการแกะและประกอบชิ้นส่วนที่ผ่านการปรับแต่งเข้าไปทีละชิ้นๆอย่างปราณีต จนงดงามดังกับหญิงสาวในรูปภาพระดับโลก ที่สำคัญกว่าก็คือ มันไม่ได้วางหัวใจเดิม แต่เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ที่ตอนนี้อยากได้ต้องกำเงินหลักแสนไปซื้ออย่าง RB26DETT จาก Skyline GT-R R34 แทน

แม้ว่าสุดท้าย รถคันนี้จะโผล่มาแค่เพียง 2 ฉาก คือฉากที่โดนพระเอกพาดริฟท์แบบไก่กา จนพารถพัง กับฉากที่โผล่มาเพียงห้องเครื่อง ตอนที่กลุ่มพระเอกต้องการหาหัวใจใหม่ไปลง Ford Mustang Fastback ของพ่อ (โถ่ น่าสงสารจริงๆ โมนาลิซ่าของพี่…)

แต่นั่นก็ทำให้ชื่อของ Nissan Silvia S15 เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และแม้ตอนนี้จะแผ่วลงไปบ้าง แต่งานดีไซน์สุดอมตะของมัน ยังคงเป็นรถอีกคันจากยุค 2000’s ที่ไม่เคยดูล้าสมัยเลยสักนิด

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.