ท่ามกลางการแข่งขัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จู่ๆ Tesla แบรนด์ รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ ก็ตัดสินใจ เดินหน้าบุกมาขายในบ้านเรา ในรูปแบบ CBU นำเข้าทั้งคันจากจีน
การมาครั้งนี้ มีรถ 2 โมเดล ให้เลือก ได้แก่ Tesla Model 3 รถเก๋งไฟฟ้ายอดนิยม และอีกรุ่น คือ Tesla Model Y รถอเนกประสงค์ไซส์ Compact ที่ยังมีรุ่นที่สุดของที่สุด ออกมาขายในนาม Tesla Model Y Performance
ในรุ่นรหัส Performance , Tesla ได้วางเกมการขายด้วยการทำให้รถมีสมรรถนะอย่างถึงกึ๋น แต่นั่นก็อยู่ในพื้นฐานของรถรุ่นที่จับมาปรับแต่งเพิ่ม Tesla Model Y ตัว Long Range ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เชื่อว่าหลายคน ก็คงสงสัยว่าถ้าเพิ่มอีก 250,000 บาท ไปเล่นรุ่น Performance มันจะต่างอย่างไร ?
พบหน้า Tesla Model Y Performance ตัวรถเผินๆ ก็ดูไม่ต่างจากรุ่นปกติ โดยเฉพาะตัว Long Range ที่เป็นร่างต้นถ้าคุณไม่สังเกตุให้ดี
ตัวรถภายนอก หน้าตาละม้ายคล้ายกันหมด จะมีก็เพียงการปรับปรุงชุดล้อจาก 19 นิ้ว หรือ 20 นิ้ว ที่คุณสามารถเลือกเป็นออพชั่นได้ ขึ้นมาเป็น 21 นิ้ว ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แถมยังเปลี่ยนยางยกชุดมาเป็น Pirelli P. Zero สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ให้ขนาด 275/35 R21
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็มีสปอยเลอร์คาร์บอนเคฟล่า ติดเข้ามาเพิ่มให้ ตูดเป็นชัดเจนขึ้น แต่หากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ดูตัวรถเปรียบเทียบ จะพบว่า ระดับความสูงของรถรุ่น Performance จะถูกลดระดับลง ให้เตี้ยกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่ายากที่จะสังเกต
ภายในห้องโดยสาร พูดตามตรงว่า แทบไม่มีความแตกต่าง ทุกอย่างยังคงเหมือนตัวปกติ ไม่ว่าจะ หน้าจอกลางขนาด 15 นิ้ว ใช้ในการควบคุมตัวรถในด้านต่างๆ และยังเป็นจอที่ใช้ให้ข้อมูล และเชื่อมต่อด้วย
ตรงหน้าคอนโซล น่าจะเรียกว่า มีชิ้นส่วนสำคัญ เพียงเท่านี้ เพราะตัวรถไม่มีมาตรวัด มาให้ตรงหน้าคนขับ มีเพียงการแสดงในจอกลางทั้งหมด จนมันทำให้เราแอบคิดถึง รถที่มีแนวความคิดนี้มาตั้งแต่อดีต อย่าง Toyota Vios ทั้งสองเจเนอเรชันแรก
สาเหตุที่ไม่มีมาตรวัด ตรงหน้าคนขับ นั่นก็เพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในระหว่างการขับ และ ทัศนวิสัยในการมองเห็น ทางด้านหน้าก็ดีขึ้นด้วยตามลำดับ
ความเรียบง่าย ยังมาถึงพวงมาลัย ที่มีเพียงตุ่มสองอัน ซ้ายและขวา ในการควบคุมปรับค่าต่างๆ อาทิ การปรับกระจกมองข้าง, ปรับวิทยุ ซึ่งทั้งหมดจะต้องปรับผ่านการเข้าโหมดที่จอกลาง แล้วถึงจะใช้ 2 ปุ่มนี้ในการควบคุมร่วมด้วย
ส่วนระบบขับขี่อัตโนมัติ จะใช้ก้านเกียร์ ที่ออกแบบมาแนวทางเดียวกับ รถอย่าง Mercedes Benz อยู่ทางขวา กดลงสองที ก็พร้อมในการทำงาน ง่ายดายมากๆ
เรื่องที่น่าสนใจในรถคันนี้อย่างหนึ่ง คือ การตบแต่ง ที่แม้นว่ามันจะเป็นรุ่น Performance หรือ ว่าง่ายๆ รุ่นพร้อมซิ่ง แต่ภายในกลับมาเป็นลายไม้ จนสายซิ่งตัวจริงอย่างผมแอบงงเล็กๆ รถซิ่ง = ให้ลายไม้… โอ้ย มันควรจะเป็น คาร์บอนเคฟล่าร์ หรือ ไม่เอาง่ายเลย ก็ตบแต่งแบบ พลาสติกดำเงา ก็ได้ …..
เรื่องตัวเบาะนั่งโดยสาร ออกแบบมามีขนาดใหญ่พอสมควร นั่งสบาย และทุกครั้งที่ปรับเบาะ ก็สามารถเลือกบันทึกท่านั่งก็ได้ เพียงกดตอบสนองที่จอกลาง 15 นิ้ว
ด้านหลังเบาะนั่งก็มีขนาดใหญ่นั่งสบายไม่แพ้กัน พื้นที่ในการโดยสารกก็เรียกว่ากว้างขวางเหลือเฟือ โดยเฉพาะพื้นที่วางขา
ส่วนบนหัว จะได้ช่องรับแสงขนาดใหญ่ หรือ หลังคาแบบ Panoramic ช่วยเพิ่มความสว่างในห้องโดยสาร แต่ต้องยอมรับว่า ด้วยกระจกบานใหญ่ที่ดูเท่ห์แบบนี้ ในการใช้งานจริง คุณอาจรู้สึกว่ามันร้อนศีรษะได้เหมือนกัน
การวิศวกรรมและการทดลองขับขี่
ที่จริง เราต้องยอมรับว่า หลายคนที่มองหา หรือ ซือ้ Tesla ไม่ได้ มองรุ่น Performance เนื่องจากมันเป็นรุ่นที่เน้นสมรรถนะ ถ้าต้องการในการใช้งานทั่วไป รุ่น Long Range ก็น่าจะตอบโจทย์กว่า โดยเฉพาะในแง่ระยะทางการขับขี่ อันเป็นจุดที่หลายคนกังวลต่อการใช้งานมากที่สุด
แต่ถ้าคุณมองว่าสมรรถนะในการขับขี่มันก็ต้องเข้ามือด้วย รุ่น Performance นับว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะใต้เรือนร่าง รถรุ่นนี้ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เคลมกำลังขับสูงสุดที่ 456 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร ตามการเปิดเผยของ Tesla รถรุ่นนี้ จะมีอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 3.7 วินาที แถมความเร็วสูงสุดยังเพิ่มจากเดิม 217 กม./ชม. มาเป็น 250 กม./ชม.
ด้านการส่งกำลังเป็นหน้าที่ของ แบตเตอร์รี่ขนาด 82 kWh ระยะทางเคลมต่อการชาร์จ อยู่ที่ 582 กม. ตามมาตรฐาน NEDC แบตเตอรี่ลูกนี้เป็นตัวเดียวกับรุ่น Long Range ซึ่งมีมอเตอร์พละกำลังน้อยกว่า เมื่อกำลังมอเตอร์มากขึ้นมันจึงมีระยะทางต่อการชาร์จน้อยลง แต่ก็ยังคงมากพอสำหรับการเดินทางทั่วไป
รถสมรรถนะพละกำลังขนาดนี้ ถ้าเทียบง่าย มันมีกำลังขับมากกว่า Ford Mustang V8 5.0 ลิตร และ ด้วยการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถทำได้อย่างว่องไว กดเป็นมา ก็เรียกว่า ยกระดับไปอีกขั้น เลยก็ว่าได้
สำหรับใครที่กังวล และคิดว่า เราไม่ได้ใช่ 456 ม้าในเมือง ก็ต้องบอกว่า ความจริงแล้ว รถจะเปลี่ยนบุคลิกการตอบสนองไปตามแต่ละโหมด การขับขี่
ช่วงที่ผมขับในเมืองใช้ โหมดการขับขี่ มาตรฐาน และคันเร่งแบบชิล รถตอบสนองให้ความรู้สึกมีพลังหนักแน่น แต่ไม่ได้ดูพร้อมพุ่งจนเกินงาม แม้จะบี้คันเร่ง ก็ไม่ได้มาแบบเขื่อนแตกออกอาละวาดในเมือง มันกลายเป็นรถขับสบายคันหนึ่ง มีกำลังเหลือๆ ยามที่ต้องพุ่งใช้ความเร็วบี้กับไฟแดง ติดตรงนี้อีกหลายนาที หรือ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายด้วยเวลาจำกัดจึงยังไม่ได้ลองโหมดสบาย เลยยังตอบไม่ได้เต็มปากว่ามันต่างกันอย่างไรบ้าง
ที่แน่ๆ Tesla มีดีอยู่ข้อ คือคุณสามารถปรับ ลักษณะการตอบสนองการเบรกรถ ว่าจะให้เป็นแบบขับๆอยู่ แล้วพอปล่อยคันเร่ง ระบบรีเจนฯก็จะทำงานจนรถหยุดนิ่ง (คล้ายระบบ One Pedal ของรถไฟฟ้าแบรนด์ยุโรป), หรือ รีเจนฯพอถึงความเร็วต่ำเท่านั้น ที่เหลือหากให้รถหยุด คุณก็ยังต้องเบรกเองอยู่ดี
แต่นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน ไม่รู้ว่าทีม Tesla ไม่ได้คิด หรือ คิดว่าไม่จำเป็นที่จะให้ผู้ขับขี่ตั้งค่า ความแรงในการรีเจนฯ จึงไม่สามารถตั้งค่าได้ และนั่นเริ่มส่งปัญหาถึง Tesla จนต้องเรียกปรับปรุงครั้งใหญ่ในจีน ตามที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้ และ มีการยืนยัน อย่างไม่เป็นทางการว่า การอัพเดท ครั้งต่อไปของ Tesla จะอนุญาตให้ผู้ขับขี่ปรับการรีเจน ได้ 2 แบบ เป็นอย่างน้อย
ผ่านชีวิตในเมืองถนนว่างก็ได้เวลา พุ่งลองสมรรถนะดูบ้าง เมื่อปรับเป็นโหมดสปอร์ต ขาคันเร่งสปอร์ต สมรรถนะที่แท้จริงของ Tesla Model Y ก็ผงาดออกมา ขาคันเร่งไว รกดปุ๊ปพร้อมพุ่งประดุจม้าพยศ ต้องระวังมากในการใช้ขาคันเร่งนี้
เมื่อมาใช้โหมดสปอร์ต ผมพบว่า การตอบสนองของมอเตอร์เปลี่ยนไป มันดูจัดจ้านกว่า ติดเท้ากว่า กดเป็นมามากกว่า ไม่อม เหมือนช่วงใช้โหมดมาตรฐาน เหมาะแก่การขับซิ่งอย่างแน่แท้
แล้วสมรรถนะที่แท้จริง น่ะ หรือ ?
จากกการทดสอบของเรา โดยวัดอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ด้วย กล่องเครื่องมือเฉพาะ V-Box Race Logic ผมได้ตัวเลขสมรรถนะ บนถนนเมืองไทย ดังนี้
- 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.47 วินาที
- 80-120 กม./ชม. ในเวลา 2.81 วินาที
- 0-160 กม./ชม. ในเวลา 10.82 วินาที
ข่าวดี สำหรับคนรักความแรงบ้าความเร็ว Top Speed รถรุ่นนี้ แอบมากกว่ารถสปอร์ตบางรุ่น สูงสุดที่ 253 กม./ชม. ตามความเร็ว GPS ทำให้มันเป็นรถไฟฟ้า ที่ยากจะเคี้ยวลง แถมยังเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะ เพราะคุณไม่มีทางเดาออกว่า คันไหน คือรุ่น Performance
เอาเป็นว่า แม้แต่ รถยนต์นั่งค่ายเยอรมัน ที่เป็นรุ่นสมรรถนะสูง ราคาเหนือกว่า ก็ยังยากจะเคี้ยวเจ้านี่
ถึงส่วนตัวผมจะต้องพูดว่า ประทับใจกับเรื่องอัตราเร่งของรถ ตามสไตล์ผู้ชายอกสามศอกชอบเรื่องรถ
แต่ส่วนที่จะทำให้คุณต้องพิจารณา Tesla Model Y คันนี้ ก็คือ การตอบสนองของช่วงล่างนั่นเอง
ด้วยการยังล้อ 21 นิ้วมาให้ ทำให้ Tesla Model Y Performance น่าจะต้องมีการเซทช่วงล่างใหม่ เพื่อไม่ให้ล้อและยางกระแทกเข้าซุ้มในระหว่างการขับขี่
ตามข้อมูลที่มีในมือ ตัวรถรุ่นปกติดจะใช้ชุดช่วงล่าง ที่เรียกว่า Comfort Suspension แตกต่างจากตัว Performance อย่างชัดเจน โดยตัวนี้ ช่วงล่างจะมีการลดระดับตัวถังลง ราวๆ 20 มม. เพื่อให้ทรงสวยขึ้นด้วยส่วนหนึ่ง และปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น ด้วยเช่นกัน
แน่ล่ะว่าถ้าคุณจะถามหาความสบายจากล้อ 21 นิ้วในความเร็วต่ำ ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ยิ่งกับการใช้งานในเมืองที่ต้องเจอกลุมบ่อฝาท่อกทม. มันค่อนข้างจะแข็งตึงตังอย่างชัดเจน เป็นช่วงล่างที่นั่งไม่สบายเอาเสียเลย จนคนในครอบครัว อาจบ่นคุณได้ และไม่แปลก ถ้าเขาจะบ่น
ส่วนสำคัญ ก็น่าจะมาจากยางแก้มบางเฉียบ ด้วย Aspect Ratio 35 ของความกว้างหน้ายาง มันอาจจะไม่มีปัญหา กับถนนในประเทศต้นทางไม่ว่าจะ จีน หรือในอเมริกา กลับกันในไทย ที่มีหลุมบ่ออยู่เยอะแยะในกรุงเทพมหานคร กลับสะดุ้งสะท้านจนเกินงามไปหน่อย ซึ่งจะว่าไป ก็เป็นเรื่องปกติ ของรถสมรรถนะสูงทุกรุ่น
แต่พอมาขับทางไกล ใช้ความเร็ว 90 กม./ชม.ขึ้นไป ช่วงล่างที่สะท้านสะเทือน ก็หายเป็นปลิดทิ้ง กลายเป็นช่วงล่างมั่นใจ ขับสบาย นั่งสบายประมาณหนึ่ง อาจยังมีอาการติดกระด้างบ้าง โดยเฉพาะเวลาผ่านรอยต่อทางด่วน จะพบว่า มันสะเทือนนิด หากก็อยู่ในเกณฑ์รับได้
พอใช้ความเร็วสูง ช่วงล่างเซ็ทนี้ จะมอบความรู้สึกมั่นใจไปยันความเร็วสูงสุด ไม่เว้นกระทั่งในยามเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วสูง รถดูตอบสนองได้ดีในระหว่างการใช้ความเร็ว การโคลงตัวน้อย ส่วนสำคัญก็มาจากยางแก้มเตี้ย รวมถึงแบตเตอร์รี่ที่อยู่ใต้รถ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ จนคุณรู้สึกสนุกกับรถไฟฟ้าคันโต ที่เร่งได้แบบ Mustang V8 5.0L ได้ทุกเส้นทางบนถนน
แต่ส่วนที่ต้องระวัง คือการขับขี่ทางไกลด้วยความเร็วสูง ด้วยยางแก้มเตี้ย ทำให้ คุณอาจมีปัญหา ในการตกกระแทกหลุมระหว่างใช้ความเร็ว เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี อันที่จริงเราอยากแนะนำ Tesla ว่า ควรทำ ออพชั่นล้อ 20 สำหรับลูกค้า ซึ่งชอบรุ่นนี้ แต่รู้สึกไม่สบายกับ ยางที่มีแก้มเตี้ยบางเกินไป ต่อการใช้งาน
อย่างไรก็ดี, ช่วงล่างไม่ใช่อย่างเดียว ที่ควรพิจารณา, ระบบเบรก, ก็เป็นอีกอย่างที่ควรจะต้องเข้าใจ แม้ว่าข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า คือการใช้ การรีเจน หรือ การหน่วงจากมอเตอร์ ในการช่วยชะลอดความเร็ว และ ในรุ่น Performance ก็ได้เบรกหน้าขนาดใหญ่ 4 พอท พร้อมจานเบรกหน้าที่ใหญ่กว่า รุ่นปกติอีก 20 มม. ช่วยเสริมเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มการระบายความร้อน
ช่วงความเร็วปกติ ดูไม่มีอะไร เบรกดี หนึบอยู่มั่นใจ ตามสไตล์เบรกใหญ่ เหยียบปุ๊ป สร้างแรงเสียดทานมหาศาล หยุดได้ในบัดดล โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ การรีเจนของมอเตอร์ ในช่วงความเร็วต่ำและ การใช้งานในเมือง
ผมอยากเตือนเพื่อนๆ ทุกคนที่ใช้ ระบบเบรกใหญ่ว่า บางที เบรกกระทันหันเบรกแรง ก็ช่วยมองกระจกหลังสักนิด ว่ารถคันหลังเขาเบรกทันไหม ไม่ใช่รถทุกคัน จะสามารถหยุดได้รวดเร็วเหมือนเรา สิ่งที่ต้องระวัง จึงเป็นเรื่องการโดนชนจากด้านท้าย
เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเดินทางทั่วไป , อาการเบรกให้ความรู้สึกเฟิร์ม ยังคงความมั่นใจในการใช้งาน เหยียบแป้นนิดเดียว รถก็ชะลอความเร็วแทบจะทันที แต่เมื่อคุณขับด้วยความเร็วสูง แล้วต้องการห้ามล้อในระหว่างทำความเร็ว จะค้นพบว่า พลังเบรก ที่เคยคิดว่าพอ มันอาจจะไม่พออย่างที่คิด มันอาจจะต้องการผ้าเบรกประสิทธิภาพสูง เวลาเบรกแรงเสียดทานมีแต่ยังน้อยกว่าที่ต้องการ สำหรับคอความเร็วทั้งหลาย
ยังดีที่เราไม่พบว่า เบรกมีอาการเฟด หรือ เหยียบแล้วไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร มันยังมั่นใจ เพียงแต่อาจจะต้องการให้ สัมผัส ความรู้สึกดีกว่านี้ ในการปราบฝูงม้า ที่มากกว่า Mustang ด้วยซ้ำไป
Tesla Model Y Performance …แรงคุ้มเงิน…ครบเครื่องสมรรถนะ
ต้องยอมรับก่อนว่า ในการสัมผัส รถคันนี้เรามีเวลาอยู่กับรถสั้นมาก เพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันช่วยเปิดความคิดของตัวผมเอง ที่มีต่อ Tesla ด้วย
นานแล้ว ที่ผมเคยสัมผัส Tesla Model S ในยุคแรกเริ่มของรถยนต์ไฟฟ้ามาวันนี้ ที่ได้ขับคันนี้ มันยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังวังชาเหลือเฟือ ขับสู้ฟัดกับรถสปอร์ตได้อย่างสบาย มีสมรรถนะมากกว่า รถสันดาป หรือ รถไฟฟ้าในราคาใกล้เคียงกัน แทบทุกด้าน
สิ่งที่ส่วนตัวผมว่า คนที่สนใจยังต้องพิจารณา ก็คือ การควบคุมรถที่แม้ว่าจะทำออกมาได้ดีจนเป็นที่น่าพอใจ แต่เมื่อ คุณเริ่มใช้มันจนถึงกึ๋นขีดสุดที่มอเตอร์สามารถทำได้ คุณอาจเริ่มรู้สึกว่า ช่วงล่างมันควรดีได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเบรกไว้ห้ามพลังขับ 456 ม้า แม้จะมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีการรีเจน ก็ยังควรต้องได้เบรกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ ซึ่งคุณจะรู้ตัวก็เมื่อในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ใช้ความเร็วสูง เกิดเจอรถตัดหน้าขึ้นมา อะไรแบบนั้น
แต่กับการใช้งานทั่วไป ถือว่าเพียงพอแล้ว ต่อการขับขี่ และใช้งาน มีสมรรถนะแบบรถสปอร์ตในราคาที่คุ้มค่า มีราคาถูกกว่า Volvo C40 และ XC40 พอตัว สำคัญสุด คือคุณได้ขับ Tesla ที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน
ในภาพรวม ถามว่ารถรุ่นนี้น่าซื้อไหม ก็ตอบตามตรงว่าน่าซื้อ ถ้าคุณชอบพลังขับมหาศาล ในราคาที่ถูกกว่า Ford Mustang V8 ครึ่งต่อครึ่ง ผมยอมรับว่าคุ้มครับ แต่พอมามองความจริงในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คนกังวลระยะทางมากกว่า พละกำลังขับมหาศาล จะเอาไปวิ่งที่ไหน ถ้าคิดแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจ ที่ตัว Long Range จะขายดีกว่ากันแยะ
ด้วยราคาที่ถูกกว่า ระยะทางมากกว่า พลังขับที่ว่าเหลือเฟือพอใช้ในการขับขี่ ความเร็วที่เกินกว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ แล้ว ถ้าไม่ได้ต้องการความสปอร์ตมากมาย ตัวกลางก็เหลือเฟือแล้ว
ส่วนใครมอง สุดขั้วสมรรถนะ ก็ต้องรุ่น Performance เท่านั้น ครับ