ตั้งแต่ไปลองสัมผัส All-New Honda CR-V ที่ เชียงใหม่มา ผมยอมรับว่ารถยนต์อเนกประสงค์ในวันนี้มีการพัฒนาไปมากจนยิ่งกับ ฮอนด้า แบรนด์นี้ เรียกว่าชื่อชั้นเริ่มกระเถิบเข้าใกล้แบรนด์ยุโรปขึ้นเรื่อยๆ
แต่เวลาเรามองรถยนต์ครอบครัวแบบนี้ เราจะมองที่ความคุ้มค่า โจทย์ของรถยนต์อเนกประสงค์ ที่ถูกมองวางเป็นรถยนต์ครอบครัว มีความเหมือนกันอยู่ในทุกบ้าน คือ มันต้องคุ้มค่า ประหยัดน้ำมัน ขับดีนั่งสบาย ทั้งหมดนับเป็นจุดสำคัญของการเลือก รถครอบครัว
ฮอนด้า ซีอาร์วี อยู่ในตลาดกลุ่มนี้มานาน และมันเป็นรถสามัญประจำครอบครัวของหลายบ้าน ตั้งแต่รุ่นแรก มาจนปัจจุบัน ในรุ่นนี้ ตัว RS อาจจะพูดตามตรงว่า ฟังชั่นมาครบจัดเต็ม จบแบบไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว
แต่หลังลองขับที่เชียงใหม่ ผมก็กังขาว่า ตัวรถรุ่นนี้ คุ้มจริงหรือไม่ ? เพราะในการเจาะสเป็ครุ่นคุ้ม เจ้า Honda CR-V e:HEV ES รุ่นรองท๊อป กลับดูคุ้มค่ากว่าและมีราคาถูกกว่า ตั้ง 140,000 บาท
ผมไม่รอช้า ที่จะขอลอง Honda CR-V e:HEV ES ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือ
- มันเป็นรถรุ่นที่ฮอนด้า บอกขายไม่ดี เนื่องจาก 80% ของรถซีอาร์วี ที่ขายเป็นรุ่นไฮบริด และส่วนใหญ่ คนไปจบที่ตัวท๊อปมากกว่า
- ตอนลองขับรุ่นเทอร์โบ ผมพบว่ารถค่อนข้างนุ่มนวลขับสบาย แต่ไม่ค่อยทันใจแบบไฮบริด
จากสองเหตุผล ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่า ความผสมผสานระหว่างความแรงและประหยัด และความสบายแบบ ฮอนด้า ซีอาร์วี นำเสนอในหลายปีที่ผ่านมา จะบรรจบที่ ES ที่มีราคาถูกกว่า และเหลือเฟือต่อการใช้งาน ไม่ต้องก้าวไปถึง RS ที่มีราคาแพงกว่า และคุณต้องผ่อนแพงกว่า โดยไม่จำเป็น
ภายนอกบ้านๆ
หลายคนเห็น Honda CR-V e:HEV RS จะบอกไปในทางเดียวกันว่า โคตรหล่อ รถรุ่นนี้โดนใจจอร์จ คนสายพ่อบ้านที่อยากได้รถดูดีสุดๆ
ที่จริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นตัว RS ผมค่อนข้างคิดในทางว่า มันดูจะคล้ายกับ วอลโว่ ไปสักนิด และดูเหมือน นั่นคือ ความพยายาม ของทางฮอนด้า ในการนำพาให้ก้าวข้ามจุดยืนเดิมของ Honda CR-V ไปสู่ทิศทางใหม่ที่เป็นรถหรูกลายๆไปในตัว
แต่ญี่ปุ่น...ก็คือ ญี่ปุ่น จิตวิญญาณการพัฒนารถ คือความเรียบง่ายสะดวกในการใช้งาน มีความนุ่มสบายในการโดยสาร ในรุ่น ES ทางวิศวกร จึงยังคงใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/60R18
ชุดล้อเป็นสีดำเงา ดูสปอร์ต กว่าตัวเทอร์โบ ที่ทำสีซิลเวอร์มาให้ จนบางคนคิดยุคนี้ยังจะเล่นล้อสีนี้อีกหรอ
ชุดยางแม้ว่าจะขนาดเดียวกับรุ่นเทอร์โบ แต่ใช้ยางคนละประเภท ในรุ่นเทอร์โบ จะเป็น ชุดยาง Toyo Tire Proxes R45 ยอดนิยมของฮอนด้ามาแต่ไหนแต่ไร พอเป็นรุ่นไฮบริดตัวนี้ กลายเป็นจากค่าย Dunlop รุ่น Sport Max 050 เป็นยางสปอร์ตน้ำดี ที่เราเห็นติดตัวรถสมรรถนะสูงจากญี่ปุ่นหลายรุ่นในระยะหลัง
ส่วนตัวรถ นำเสนองานออกแบบง่ายๆเหมือนรุ่นเทอร์โบ คือช่วงชายล่าง ปล่อยให้มันเป็นสีดำด้าน ชิ้นงานดิบๆ เผื่อลูกค้าจะเอาไปสมบุกสมบัน
ถ้าคุณเล่นเกมจับผิดกับสเป็คชีท จะพบว่า ภายนอกมี 2 อย่างที่เปลี่ยนไป อย่างแรก คือ ไฟหน้าเป็นไฟปกติ ยังคงส่องสว่างได้ดีชัดเจน ในยามค่ำคืน
อีกอย่างที่ถูกทอนลงไป ก็คือ ไฟตัดหมอกหลัง ซึ่งเราไม่แน่ใจว่า คุณจะเอาไปติดตั้งภายหลังเพิ่มเติมได้หรือไม่ แต่ที่ดูจากในโคม มันแค่ไม่มีหลอดมาให้ได้ใช้งานก็เท่านั้นเอง
ภายใน โทนสูงวัย
ทางด้าานในห้องโดยสาร ตัว RS จะให้การตัดเย็บเดินด้ายแดง และ การตบแต่งด้วยอลูมิเนียม ดูดีไฮโซ มาพร้อมเครื่องเสียงจาก Bose และมีแผนที่นำทางในตัว
พอมารุ่น ES ทุกอย่างหายไป การตบแต่งเป็นลายไม่สีน้ำตาลเข็ม เบาะหนังปกติ เครื่องเสียงปกติ ไม่มีแผนที่ในตัว ซึ่งเอาจริงนะ ชีวิตปัจจุบัน ผูกกับ Google Map มากกว่า รวมถึง ไม่มี Head UP Display อาจเรียกว่า รถคันนี้ไม่มีออพชั่นไฮโซ ก็ถูกแหละ ไม่ผิดจากนั้นเท่าไร
แต่อะไรที่จำเป็นก็ยังมีมาให้ อาทิ เบาะนั่งคนขับ ปรับไฟฟ้า พร้อมบันทึกท่านั่ง 2 ตำแหน่ง, เบาะคนนั่งตอนนั่งปรับไฟฟ้า
เบาะนั่งตอนหลังเลื่อนได้ และปรับเอนได้หลายระดับ ทำให้หาท่านั่งสบายๆ ได้สบาย
บนหลังคา ก็ยังมีหลังคาซันรูฟมาให้รับแสง เพิ่มความโปร่งโล่งสบายในระหว่างการขับขี่ หรือจะเปิดให้ลูกดูดาว ในระหว่างการเดินทางยามค่ำคืนก็ได้
และขาดไม่ได้ กับระบบปรับอากาศ อิสระ แยกซ้าย-ขวา ตามต้องการ ช่วยให้ชีวิตครบเครื่องลงตัวแล้ว สำหรับคำว่ารถครอบครัว สักคัน
การทดลองขับ
แน่ล่ะว่า สิ่งที่หลายคน อยากทราบเกี่ยวกับรถคันนี้ ก็คือสมรรถนะในการขับขี่ ของมันนั่นเอง ก่อนที่ผมจะเล่าให้ฟัง ขอบอกก่อนว่า เทียบกับรุ่น RS นอกจากจุดต่างเรื่องล้อและยาง ที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้ว ตั้งแต่ต้น
มันก็ยังขาดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา Real Time All Wheel Drive ที่ปรับปรุงมาใหม่ ทำงานแบบ All Wheel Drive ซึ่งจริงๆ จะแบ่งกำลังขับแบบ 60/40 ระหว่างทางด้านหน้าและทางด้านหลัง ช่วยเพิ่มความมั่นใจการขับทางโค้ง หรือ ต้องขับผ่านฝน ไม่เหมือนรถในรุ่นก่อนที่เป็นระบบ Real Time จริงๆ คือ ลื่นแล้วค่อยทำงาน จนหลายคนขยาด ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจากฮอนด้า
รุ่น ES ไม่มีระบบนี้ แต่เอาความจริงสาวกฮอนด้า ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ขาลุยสักเท่าไรอยู่แล้ว เรียกว่าเน้นใช้รถขับทางเรียบ รับส่งลูกเมีย และออกเที่ยวในทางที่ถนนเข้าถึง เสียมากกว่า ดังนั้น รุ่นขับเคลื่อนสองล้อก็จัดว่าพอเพียงต่อการใช้งานของสาวก ซึ่งหลายคน ก็คิดเหมือนผมเช่นกัน
จุดเด่นสำคัญ ของรุ่น ES คือ ด้วยการไร้ระบบขับสี่นี่แหละครับ ทำให้เมื่อเทียบรถรุ่นนี้กับตัว RS แล้ว มันก็จะมีน้ำหนักเบากว่าประมาณ 70 กก. ซึ่งถือว่ามากอยู่พอสมควร
แถมใครที่อ่านโบว์ชัวร์ ฮอนด้าดีๆ จะพบว่า ความประหยัดสูงสุดของ Honda CR-V ที่เคลมนั้น มาจากรถ Honda CR-V e:HEV ES รุ่นนี้แหละ ที่พิชิตอัตราประหยัด 20.8 ก.ม./ลิตร ได้ จนอาจเรียกว่า เป็นอเนกประสงค์ ที่ประหยัดที่สุดในยุคนี้ก็ไม่ผิดนัก
ใต้เรือนร่าง เครื่องเครายังเหมือนเดิม กับเครื่องยนต์ 2.0 ไฮบริดระบบ e:HEV เอกสิทธิ์ ของทางฮอนด้า เครื่องยนต์เพียวๆให้กำลังขับ 148 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อนาที กับ แรงบิดสูงสุดที่ 183 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที
ระบบ e:HEV แตกต่างจากระบบไฮบริดอื่นๆตรง ระบบจะใช้ความสามารถของมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่า ตัวมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังขับสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-8,000 รอบต่อนาที และ แรงบิดสูงสุด อยู่ที่ 335 นิวตันเมตร ที่ 1-2,000 รอบต่อนาที
จุดต่างระบบ e:HEV ของ ซีอาร์วี เมื่อเทียบ ซีวิค มีอยู่ข้อเดียว คือ ชุดขับเครื่องยนต์ ของ CR-V จะมีอัตราทดมอเตอร์ 2 จังหวะ แบ่งเป็นช่วง High กับ Low ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ระบบจะได้เอาเครื่องมาช่วยขับบ้างในช่วงจังหวะออกตัว เพื่อลดภาระของมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเราจะเห็นในจังหวะที่แบตเตอร์รี่อยู่ในระดับต่ำ
ส่วนระบบก็ยังเหมือนเดิมจะขับใน 3 โหมด สำคัญคือ
- EV Mode : โหมดขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน แต่เลือกใช้เองไม่ได้ ยังคงเป็นจุดที่ทำให้หลายคนอาจจะหงุดหงิดใจ
- Hybrid Mode : โหมดใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ช่วยในการขับเคลื่อนรถ
- Engine Drive Mode : โหมด ใช้เครื่องยนต์ช่วยส่งกำลังโดยตรง
จากการลองขับทั้งในเมืองและนอกเมือง โดยส่วนใหญ่ระบบจะทำงานภายใต้เงื่อนไข EV Mode และ Hybrid Mode มากกว่า โหมดการทำงานใช้เครื่องยนต์ล้วนเพื่อความประหยัดสูงสุด
แถมสิ่งที่ได้เป็นเงาตามตัวติดมาด้วย คือการตอบสนอง ในแง่อัตราเร่งที่ค่อนข้างดี จนคุณอาจคาดไม่ถึงว่า CR-V ที่ตัวมันก็ใช้ว่าจะเล็ก กลับทำอัตราเร่ง เลขตัวเดียวได้สบายๆ เพราะเราได้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ดีที่สุด อยู่ที่ 9.52 วินาที จากการนั่ง 2 คน ถือว่าเป็น ครอสโอเวอร์ที่มีพละกำลังมากคันหนึ่ง
นั่นก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะแรงบิด 335 นิวตันเมตร ของมัน รวมถึงพละกำลังขับรวม 207 PS ใต้ฝ่าเท้า
แล้วด้วยความเบากว่า RS รวมถึง ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนตัวผมว่า ES ดูตอบสนองพุ่งทะยาน ถูกใจ คอสายซิ่งมากกว่า จนผมเองยังแอบเป็นปลื้ม ในเรืองของอัตราเร่ง
และถึงมันจะเร่งเร้าใจ ขับมันสุดๆ รถรุ่นนี้ก็ยังมอบความประหยัดน้ำมัน ในแบบที่คุณไม่อยากจะเชื่อ ไม่ว่าจะขับในเมืองรถติดๆ หรือ ตะบัน ความเร็วเดินทาง อัตราประหยัดของมัน ไม่เคยต่ำกว่า 18 กม./ลิตร เลย
กลายเป็นรถที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน คิดดู หากเราเอา 18 คูณด้วยขนาดถังน้ำมัน 57 ลิตร ของรถรุ่นนี้ เจ้า Honda CR-V e:HEV ES จะแล่นไกลราวๆ 1,000 กว่าโล ต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้ง เลยทีเดียว
และถ้าหารด้วย ราคาน้ำมัน ตอนที่เราทดสอบ จะอยู่ที่ 35.05 บาทต่อลิตร ถ้า 1 ลิตร วิ่งได้ราวๆ 18 ก.ม./ลิตร จะเป็นค่าเดินทาง ประมาณ 1.95 บาท ต่อกิโลเมตร ซึ่งถือว่าถูกมากกับรถที่มีขนาดใหญ่ และพละกำลังขนาดนี้
อ่านผลการทดสอบของ Honda CR-V E:HEV ได้ที่นี่
ช่วงล่างก็เด่นไม่แพ้กัน
ทางด้านระบบกันสะเทือน หรือ ช่วงล่าง ก็เป็นอีกจุดที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ทางฮอนด้า ดูจะตั้งใจ ทำให้รถรุ่นนี้ขับสนุกมั่นใจ นั่นก็มาจากส่วนสำคัญเรื่องของระบบไฮบริด สามารถวางตำแหน่งแบ่งอุปกรณ์ กระจายน้ำหนัก ช่วยสร้างเสริมสมดุลรถเพิ่มขึ้น
อีกด้าน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ ฮอนด้าจะใช้ ช่วงล่างเซทเดียวกับในรุ่น RS และให้จุดต่างเพียงล้อกับยาง เท่านั้น
พอลองขับ ผมสัมผัสได้ว่า อาการช่วงล่างคล้ายกับความเป็น RS ที่เคยสัมผัส ตัวรถออกแนวสปอร์ตเฟิร์ม ค่อนข้างมั่นใจ
หากด้วยล้อ 18 และ ยางที่แก้มหนากว่า แม้ว่าจะดูไม่สวยงามเท่า RS แต่สิ่งที่มันมอบให้ คือการตอบสนองในแง่ความนุ่มนวล จะมีรถสักกี่คัน ที่คุณสามารถสนุกไปกับการขับขี่ ในระหว่างที่ลูกและภรรยา หลับได้สบาย CR-V e:HEV RS คือ รถคันนั้น
คุณจะไม่แปลกใจ เมื่อขึ้นขับไม่นาน ความเงียบจะเข้าครอบงำ หันไป จะเห็นภาพคนหลับในรถ เพราะยางแก้มสูง ช่วยมอบความสบายในการโดยสารกว่า RS อาการช่วงล่างจะไม่รู้สึก เฟิร์มและตึงตัง เท่ารุ่น RS ที่เคยขับ รุ่นนั้น จะออกไปคล้ายทางรถยุโรป ซึ่งมีความแอบกระด้าง จากยางแก้มเตี้ยอยู่บ้าง ต้องยอมรับว่า ฮอนด้ายังดูจะไม่เข้ามือกับการเซทรถช่วงล่างที่มาพร้อมยางแก้มเตี้ย เท่าไรนัก
อีกอย่างที่เป็นไฮไลท์เลย คือความคล่องตัวของรถ ที่ดีกว่า RS อย่างชัดเจน
ต้องขอบคุณ น้ำหนักที่ลดลงไป และการเป็นขับเคลื่อนสองล้อหน้า ทำให้ Honda CR-V e:HEV ES มีความคล่องตัวกว่า เวลาคุณมุดไปตามการจราจร หรือจะเป็นในยามเข้าโค้งก็รู้สึกดูเป็นธรรมชาติมากกว่า อย่างชัดเจน
การบังคับควบคุมดูคล่องตัว แม้ว่า สิ่งที่ตามมาคือ อาการโคลงตัวของรถเวลาเราสะบัดพวงมาลัย แรงๆจะมากกว่ารุ่น RS ซึ่งก็มาจากการเป็นขับหน้า และ ยางแก้มสูง นั่นแหละ
สิ่งเดียวที่ทำให้ คุณต้องคิด ตะขิดตะขวงใจสักหน่อย คือ เวลาเจอฝนตก มันจะขับไม่มั่นใจเท่ารถที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ถ้าคุณใจถึง มันก็พอไปได้เช่นกัน ต้องระวังการเหินน้ำสักหน่อย เวลาขับเร็วๆ
Honda CR-V E:HEV ES อาวุธครบมือพ่อบ้าน ในราคาคุ้มกว่าถ้าไม่ใช่สายโหด
ผมใช้เวลาอยู่กับ Honda CR-V e:HEV ES ราวๆ 4-5 วัน ทุกวัน ผมรู้สึกว่าอยากเอารถคันนี้ออกไปขับ ด้วยความประทับใจ ในแง่สมรรถนะการขับขี่ การตอบสนอง และ ความประหยัด
ส่วนที่แตกต่างจาก RS นั่นคือออพชั่น ไฮโซ ที่ถูกถอดออกไปในรุ่นนี้ แต่นั่นก็ทำให้ราคาของมันถูกลงกว่า 140,000 บาท ระหว่างรถทั้งสองรุ่นด้วย
รุ่นนี้อาจจะเป็นรุ่นพ่อบ้านตัวจริง เน้นประหยัดขับสนุก พละกำลังล้นเหลือ ซึ่งวันนี้มีรถแบบนี้เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น และ Honda CR-V คือ หนึ่งในนั้น ที่ทำออกมาได้อย่างประทับใจ ทุกครั้งที่ได้ขึ้นขับ
ถ้าถามผม ส่วนตัวผมมองว่า ในรุ่น e:HEV ES เป็นตัวเลือกที่คุ้มกว่า RS แค่ความหล่อ ทั้งสองรุ่นไม่เท่ากัน เอาพอใช้งานขับดีไม่ได้ลุยไหน หรือ ไม่ได้ขับซิ่งมาก รุ่นนี้ก็พอ
แต่ถ้าชอบความมีกลิ่นอายแบบ รถยุโรป มีฟังชั่นเยอะๆ ของไฮโซเน้น ถ้าชอบอะไรแบบนั้น รุ่น RS เป็นคำตอบที่ดีกว่า
สำหรับผม ส่วนตัว ถ้าทั้งสองรุ่นเลือก Honda CR-V e:HEV ES ครับ เพราะแค่นี้ก็เหลือแล้ว กับ คำว่า “รถครอบคัรว” ที่ดีสักคัน
ขอบคุณ ฮอนด้า ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อ รถทดสอบ Honda CR-V E:HEV ES มาให้ ทดลองขับ ในโอกาสนี้