ตั้งแต่เปิดตัวออกมาในช่วงงานมอเตอร์โชว์ ทีผ่านมา Ford Ranger Raptor เครื่องยนต์ดีเซล ดูจะถูกพูดถึงน้อยมากในฐานะรถยนต์กระบะพร้อมลุยจากฟอร์ด ด้วยส่วนหนึ่งมาจากการที่ทางแบรนด์ส่งรุ่น V6 เครื่องแรงสมรรถนะสูงออกมา ทำให้หลายคนหมางเมิน
ราคาจำหน่าย 1,769,000 บาท เป็นค่าตัวเริ่มต้นของรถรุ่นนี้ นั่นต่างจาก รุ่นเบนซิน ที่ขยับราคาไปที่ 1,919,000 บาท จากเดิม 1,869,000 บาท ทำให้หลายคนเริ่มสนใจอยู่บ้าง แต่หลายคนก้มักจะมีคำถามว่า ราคาที่ต่างกันขนาดนี้ คุ้มหรือไม่ หรือ จะยอมเจ็บแต่จบไปตัวเบนซินเลย
ก่อนอื่น เรามาเทียบออพชั่นที่ต่างกัน ระหว่าง ตัวเบนซินและดีเซล
จุดแรกก็คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบ-เทอร์โบ ที่มีกำลังขับสูงสุด 210 แรงม้า ยังคงให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรเหมือนเดิม มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ตอบการใช้งาน จะเห็นได้ว่า เครื่องยนต์ตัวนนี้ถ้าพูดกันตามหลักการ ก็คือเครื่องยนต์เดียวกับ Ford Everst และ Ford Ranger Wildtrak ที่เข้ามาประจำการในรหัสแรพเตอร์อีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ แม้จะไม่แรงเร้าใจ แต่ปัญหาที่หลายคนพบจากการซื้อ แรพเตอร์ตัวเบนซิน ก็คือเรื่อองัตราประหยัดน้ำมัน ที่ซดอย่างกับปล้น จนมีคนจำนวนไม่น้อยตัดใจว่า จบกันแต่นี้ดีกว่า โดยเฉพาะใครที่ต้องใช้รถเดินทางทุกวัน จะมาจ่ายค่าน้ำมันระดับ 5-6 ก.ม./ลิตร ต่อให้เศรษฐีก็แอบมีคิดเหมือนกัน
การเปลี่ยนแปลงทางด้านเครื่องยนต์เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะใต้เรือนร่างก็แอบมีการปรับตัด ในเรื่องสมรรถนะไปบางอย่างด้วย เช่น ระบบล็อคเฟืองท้ายทางด้านหน้าถูกตัดออกไป เนื่องจากส่วนหนึ่งมาจากเครื่องยนต์ที่สามารถให้แรงบิดสูงในรอบต่อได้
ไม่เพียงเท่านี้ ชุดโช๊คอัพแม้ว่าจะเป็น Fox เหมือนเดิม แต่ขาดระบบ Live valve ที่สามารถปรับเซทด้วยระบบไฟฟ้า ในระหว่างการขับขี่ด้วยตัวเอง รวมถึงยังปรับตามโหมดการขับขี่ได้ แต่ก็ใช่ว่า โช๊ค Fox ในรุ่นดีเซลจะแย่ มันก็ยังดีกว่าในรถกระบะสายลุยรุ่นอื่นๆ ที่ทำออกมาวางจำหน่ายในระดับเดียวกัน
เพียงแต่ ถ้าเทียบความนุ่มสบายระหว่างตัวดีเซล และเบนซิน ยอมรับว่า เวลาลุยสมบุกสมบัน ตัวเบนซินนุ่มกว่าพอตัว จนใครที่มีโอกาสลองในทางลุย จะต้องหลงไหลมันไปตามๆกัน
เรื่องกายภายนอก มองเผินๆ ก็ไม่รู้หรอกว่า มันต่างยกเว้น ในเรื่องของท่อไอเสียคู่ ถูกทอนหายไป เมื่อเป็นเช่นนั้นโหมดท่อทั้งหมด ก็ถูกตอนออกไป แถมยังไม่ให้ที่เหยียบทางด้านหลังมาใช้ ชนชองท้ายกระบะ ทั้งที่รุ่น Wildtrak มีให้ จนบางคนอาจจะรู้สึกแปลกๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ทาง Ford ยังจัดการตัดฟังชั่น My Mode ทิ้งไปด้วย โหมดนี้คือการที่คุณสามารถเซทความต้องการ ยำใหญ่ของคุณที่ต้องการในการใช้งานได้ กดปุ๊ปพร้อมปั๊ป เหมือนที่แนะนำใน Ford Mustang ถูกทอนหายไป
แต่ท้ายสุด เรื่องเครื่องเสียงพรีเมี่ยมก็หายไป จำนวนลำโพง จาก 10 จุด เหลือเพียง 6 จุดเท่านั้น เท่าๆกับรถกระบะ Ranger ปกติ
ถ้าเรามาสรุปจากต่าง ระหว่างรุ่นดีเซล และเบนซิน จะพบว่า
- ปลายท่อไอเสียแบบออกคู่ซ้าย-ขวา หายไป เหลือเพียงท่อไอเสียออกเดี่ยวซ่อนไว้ใต้กระบะเหมือน Ranger รุ่นปกติ
- โหมดเสียงท่อทั้ง 4 โหมดหายไป
- โช้กอัพทั้งสี่ต้น ถูกถอดระบบ Live-Valve ออกไป
- ระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้าด้านหน้า ถูกถอดออกไป เหลือเพียงด้านหลังเท่านั้น
- ตัวรถไม่มีระบบปรับและแปรผันความหนืดตามสภาพผิวถนน
- ไม่มี My Mode
- ลำโพงเปลี่ยนจากแบบพรีเมียม 10 จุด เหลือเพียง 6 จุด
- ให้เครื่องยนต์ 2.0 ดีเซล เทอร์โบ 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร
หลังจากลองขับ ทั้งสองรุ่นในงาน Ford Ranger Raptor Unbeatable experience พูดกันตามตรงว่า ในเรื่องลุยทางสมบุกสมบัน ตัวดีเซลไม่ได้ย่อหย่อนกว่าตัวเบนซิน สักเท่าไร และคุณดูจะสบายใจกับระบบไฟฟ้าที่น้อยลงไปในตัวรถ ทำให้มั่นใจกว่า เวลาต้องเข้าป่าจริงๆ
สื่งเดียวที่จะตะขิดตะขวงใจคือ ความแรงจากเครื่องยนต์ สัมผัสเครื่องยนต์ V6 ความนิ่ง ความเงียบ ความเร้าใจ มันคือการสนองความเป็นแรพเตอร์ แบบที่ควรจะเป็นจริงๆ
ปัญหาเดียวคือ ความประหยัดที่ยากจะมองข้าม ว่ามันซดจริงจัง ซดใช่เล่น ถ้าต้องขับรถทุกวัน ตัวดีเซล ก็น่าเล่นกว่า แต่ถ้านานๆออกจากบ้านขับรถไม่ไกลมาก หรือนานๆ ใช้รถที ตัวเบนซินก็ยังน่าใช้กว่านะครับ
ตรงนี้คงต้องดูว่า คุณใช้รถแบบไหน เลือกที่เหมาะกับเรามากที่สุดครับ