หลังการลากขายเจนฯแรกไป 8 ปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ Mercedes-AMG GT เจเนอเรชันที่ 2 จะเปิดตัว และทำตลาดในฐานะรถโมเดลปี 2024
2024 Mercedes-AMG GT ยังคงมาพร้อมกับรูปทรงตัวถังหน้ายาว ท้ายสั้น และกลิ่นอายงานดีไซน์ที่ไม่หนีไปจากรุ่นพี่มากนัก อาจจะด้วยความที่ทางค่ายอยากให้มันมีความเป็นเอกลักษณ์ และลูกค้าที่เป็นสาวกตัวจริงยังคงรักในเส้นสายงานออกแบบลักษณะนี้อยู่
แต่เพื่อให้ตัวรถดูทันสมัยมากขึ้น มันจึงได้รับการปรับเปลี่ยนในเรื่องของ งานออกแบบกันชนหน้าใหม่เล็กน้อย และปรับกรอบไฟหน้าใหม่ให้ดูมีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกรอบด้านใน และในฝั่งไฟท้ายเองก็มีการปรับใหม่ ให้กรอบกว้างและยาวขึ้น หรืออันที่จริงคือทำกรอบแบบคาดยาวตลอดแนวใต้ฝากระโปรงท้ายไปเลยเสียด้วยซ้ำ และตัวกรอบดวงไฟด้านในเอง ก็ยังแบ่งเป็น 3 กรอบชัดเจนอีกด้วย
ด้านชุดกันชนท้ายก็มีการปรับงานออกแบบช่วงครึ่งล่างใหม่ ทั้งการแบ่งชิ้นส่วนเป็นครึ่งบนกับครึ่งล่าง แล้วเล่นสีทูโทน พร้อมกันนี้ยังมีการเพิ่มขนาดดิฟฟิวเซอร์รีดอากาศให้ใหญ่ขึ้น และจุดสุดท้ายที่สามารถเห็นได้ด้วยตา ก็คือโป่งซุ้มล้อหลัง ที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งอาจจะต้องเพ่งสักหน่อย แต่ก็ช่วยให้รถดูลงตัวขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว
และนอกจากการปรับใช้วัสดุประกอบตัวรถใหม่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก, อลูมิเนียม, แม็กนีเซียม, และคาร์บอนคอมโพสิท เพื่อการไล่เบา แม้จริงแล้วด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวรถใหม่ จึงทำให้ตัวรถมีขนาดใหญ่โตขึ้นในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นความยาวมากขึ้นอีก 182 มิลลิเมตร เป็น 4,728 มิลลิเมตร, ความกว้างเอง ก็เพิ่มขึ้นอีก 48 มิลลิเมตร และสูงสุดขึ้นอีก 66 มิลลิเมตร รวมถึงระยะฐานล้อเอง ก็ยาวกว่าเดิมถึง 70 มิลลิเมตร เป็น 2,700 มิลลิเมตร
ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารของตัวรถ ดูเหมาะสมและมีขนาดใหญ่โตที่จะสามารถเรียกได้ว่ามันเป็นรถแบบ GT 2+2 ที่นั่งได้อย่างเต็มปากมากขึ้น
นอกจากนี้ งานออกแบบภายในห้องโดยสารเองยังถูกปรับใหม่ ให้มีความเรียบง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณคอนโซลกลาง ที่มีการเอาปุ่มต่างๆซึ่งไม่จำเป็นไปไว้ในหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 11.9 นิ้ว จากเดิมที่เคยเป็นเพียงจอขนาดเล็กวางไว้อยู่เหนือแนวช่องแอร์ ตัวพวงมาลัยเองก็ปรับแบบใหม่ ให้ตรงตามแบบของพวงมาลัย AMG รุ่นใหม่ๆ ยุคปี 2022 เป็นต้นมา
ส่วนเบาะนั่งดูเหมือนจะไม่ได้มีการปรับรูปทรงมากเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อย สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ก็สามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น จากพื้ืนที่วางขาที่ยาวกว่าเดิม
ขุมกำลังของตัวรถ ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Bi-Turbo เช่นเดิม แต่ถูกปรับจูนใหม่ให้มีพละกำลังมากขึ้น โดยที่มันก็ยังผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro7 ที่ใหม่ขึ้นในเวลาเดียวกัน
โดยหากเป็นตัวรถรุ่น “55” ก็จะได้เครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงสุด 476 PS และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนรุ่น “63” ก็จะอัพพลังของเครื่องยนต์ขึ้นเป็น 585 PS กับแรงบิดสูงสุดขึ้นเป็น 800 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 315 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โดยทั้งสองรุ่น จะใช้ชุดเกียร์อัตโนัมติ 9 สปีด AMG Speedshift เหมือนกัน และมันก็จะเปลี่ยนมาทำงานร่วมกับระบบคลัทช์เปียกสั่งการด้วยไฟฟ้าแทน ไม่ใช่ระบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์อีกต่อไป
นอกจากนี้ในส่วนระบบขับเคลื่อน ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบระบบขขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ แล้ว ไม่ใช่รถ GT ขับเคลื่อนล้อหลังแต่อย่างใด ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับก็ยังคงจัดเต็มมาให้ ทั้ง AMG Active Ride Control หรือระบบโช้กไฟฟ้าพร้อมระบบควบคุมการโคลงตัว, ระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้าทางด้านหลัง, ระบบล้อหลังหักเลี้ยวได้, และระบบสปอยเลอร์หลังแปรผันองศาและความสูงได้ตามความเร็ว