ขณะที่ Haval H6 อาจถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ Haval ที่มีวางจำหน่ายในบ้านเรา แต่แท้จริงแล้วมันยังมีพี่ใหญ่ Haval H5 ทำตลาดในประเทศบ้านเกิดอยู่ด้วย และตอนนี้มันก็ได้รับการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่เป็นที่เรียบร้อย
Haval H5 คือรถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่จาก Haval ที่ในตอนนี้มันได้เข้าสู่ยุคของเจเนอเรชันที่ 2 ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย หลังการเปิดตัวในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ด้วยรูปโฉมใหม่ แถมยังให้ขนาดตัวที่ใหญ่โตยิ่งขึ้นจนอาจเทียบเท่ากับหรือมากกว่า Tank 500 ที่กำลังจะวางจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆนี้ ด้วยซ้ำ จากขนาดตัวด้านยาว 5,190 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,905 มิลลิเมตร, และด้านสูง 1,833 มิลลิเมตร, กับระยะฐานล้ออีก 3,140 มิลลิเมตร
ด้านงานออกแบบ สิ่งที่จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนและดูคุ้นตา ก็คือกรอบไฟหน้า LED ที่มีความใกล้เคียงกับ TANK 500 อยู่พอสมควร ไม่เว้นแม้กระทั้งงานออกแบบกระจังหน้าแบบนูนลอยตัวออกมาจากแนวไฟหน้า และเส้นสายซุ้มล้อด้านข้าง ที่ถูกปรับให้เห็นแนวกรอบเหลี่ยมสันชัดเจน แม้ขอบซุ้มล้อจริงๆจะยังคงเป็นขอบกลมตามแนวล้ออยู่ก็ตาม ส่วนแนวหลังคาเองก็มีความเป็นกล่อมเหลี่ยมตัดชันเจน ลามลงมาถังลักษณะกรอบไฟท้ายและกันชนท้าย
ภายในห้องโดยสารของตัวรถ เนื่องจากแท้จริงแล้วมันใช้พื้นฐานโครงสร้างร่วมกันกับรถกระบะอีกหนึ่งรุ่น นั่นคือ King Kong Canon ทำให้งานออกแบบชิ้นส่วนต่างๆในจุดนนี้ของมัน จึงแทบจะเรียกได้ว่าถูกยกมาจากร่างต้นเกือบทั้งหมด ทั้งคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง คันเกียร์ ช่องแอร์ พวงมาลัย ซึ่งดูๆแล้วก็ไม่ได้ดูขัดเขินเท่าไหร่นัก และเข้ากันดีกับงานออกแบบภายนอก
แต่เพื่อความหรูหรา สมกับความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์มากขึ้น ทาง Haval จึงใส่ชุดจออินโฟเทนเมนท์ตรงกลางขนาด 12.3 นิ้ว เข้ามา ตามด้วย การใช้วัสดุหนังหุ้มสังเคราะห์คุณภาพสูงตามเบาะต่างๆที่มากกว่าร่างกระบะ และยังตัดโทนด้วยการใช้งานพลาสติกทำสีอลูมิเนียมเข้าไปอีก เพื่อเพิ่มลุคพรีเมียมให้มากกว่า
น่าเสียดายก็แค่เพียง แม้ตัวรถจะยาวถึง 5 เมตรกว่า แต่มันกลับมีเบาะสำหรับผู้โดยสารภายในตัวรถเพียง 5 ที่นั่งเท่านั้น ไม่มีรุ่น 7 ที่นั่งให้เลือกซื้อ แต่นั่นก็เพื่อให้เมื่อลูกค้าได้ทำการพับเบาะแถวสองเก็บไปแล้ว ตัวรถก็จะมีพื้นที่จุของสัมภาระที่สูงถึง 2,116 ลิตร
ด้านขุมกำลังของ H5 ณ ตอนนี้จะมีให้เลือกเพียง 2 รูปแบบ 3 ระดับเท่านั้น นั่งคือฝั่งเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ และสามารถให้กำลังสูงสุดได้ 190 PS / แรงบิดสูงสุด 340 นิวตีนเมตร กับ 218 PS / แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ตามด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตรเท่ากัน แต่ให้แรงม้าสูงสุด 166 PS / แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร
ส่วนชุดเกียร์เอง ก็มีให้เลือกทั้งแบบชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขณะที่ระบบขับเคลื่อนเอง ก็มีทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part Time
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระดับเบิลวิชโบน ด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์, ระบบเบรกหน้า-หลัง เป็นดิสก์เบรกทั้งหมด, และชุดล้อมีให้เลือกทั้งแบบขอบ 17 นิ้ว กับ 18 นิ้ว แต่ยางที่ให้มาจะมีหน้ากว้างเท่ากันคือ เป็น 245/60 R18 หรือ 245/65 R17
ด้านราคาค่าตัวสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ถือว่าเริ่มต้นได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว ด้วยตัวเลข 122,800 หยวน หรือราวๆ 596,700 บาท ขณะที่รุ่นท็อปสุดก็มีราคาเพียง 167,800 หยวน หรือราวๆ 805,000 บาท เท่านั้น ซึ่งก็ยังถือว่าถูกอยู่ดีจากสิ่งที่ให้มา เพราะในรุ่นบนสุดนี้ จะได้ทั้ง หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ, ระบบ ADAS Level 2, เบาะนั่งแบบมีระบบทำความร้อน, ระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้า, และลำโพง 6 จุด
ข้อมูลจาก Haval