อาจจะจริงอยู่ว่าในช่วงขวบปีที่ผ่านมา Ford สามารถสร้างยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ได้ดี จนหลายคนเข้าใจว่าทางค่ายจะต้องสามารถเก็บกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำแน่นอน แต่ความจริงแล้วไม่เลย
จากรายงานโดยสื่อในประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่าในตอนนี้ทาง Ford ได้มีการพักและชลองบลงทุนในโปรเจ็กท์ที่เกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 12,000 ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 435,600 ล้านบาท ออกไป โดยงบที่ว่านี้ หลักๆแล้วจะเกี่ยวข้องกับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในรัฐเคนตักกี และโรงงานแห่งนี้ ก็ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีไว้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
ส่วนเหตุผลที่ทางค่ายต้องพักงบตรงนี้ไว้ ก็เกิดขึ้นจากการที่ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 Ford สามารถเก็บรายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าไปทั้งสิ้น 1,300 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 47,150 ล้านบาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเยอะ แต่เมื่อนำไปหักลบต้นทุนแล้ว กลายเป็นว่าบริษัทกลับขาดทุนสะสมถึง 3,100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 112,400 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะขาดทุนมากถึง 4,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 145,000 ล้านบาท เลยทีเดียวเมื่อนับรวมไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ด้วย
นอกจากนี้ ด้วยความที่ลูกค้าไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากในรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาของรถยนต์สันดาป เมื่อบวกกับการที่คู่แข่งทั้งสัญชาติอเมริกาด้วยกันเองอย่าง Tesla และสัญชาติจีนอีกหลายแบรนด์ ต่างพากันลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของตนเองกันอย่างหนักหน่วง
ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะตัดราคากันด้วยความต้องการแข่งขัน หรือจะลดลงเพื่อไม่สนเรื่องกำไรมากนัก แต่นั่นก็ทำให้ทาง Ford ที่ขาดทุนอยู่แล้ว ยิ่งไม่สามารถตั้งราคารถยนต์ของตนเองให้สูงขึ้นเพื่อเก็บกำไรมาถอนทุนคืนได้เช่นกัน
ครั้นจะปรับลดราคาลงเพื่อเอาใจลูกค้าก็ไม่ได้ เพราะจะขาดทุนหนักกว่าเดิม และในเวลาเดียวกันนั่นก็ทำให้ลูกค้ายิ่งตัดสินใจซื้อรถยนต์ของพวกเขายากขึ้นด้วย และจะยิ่งทำให้พวกเขาสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าของตนเองได้น้อยลงอีก
จากสถานการณ์ในข้างต้น จึงทำให้ทาง Ford ต้องตัดสินใจชลองบลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าก่อน (ย้ำอีกครั้งว่าเพียงแค่ชลอ แต่ไม่ใช่การถอนตัวไปเลย)
เพื่อรอจังหวะให้รถยนต์ไฟฟ้าและโรงงานที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ณ รัฐเทนเนสซี ในปัจจุบัน ทำเงินได้คุ้มทุนมากกว่านี้เสียก่อน และเพื่อให้เวลาในการคิดหากลยุทธ์ใหม่ที่จะตีตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นอีกนั่นเอง