หลังการเปิดตัวครั้งแรกไปเมื่อกลางปี ล่าสุด Kawasaki ZX-6R โฉมใหม่ ปี 2024 ก็ได้ถูกประกาศราคาพร้อมแล้วสำหรับการวางจำหน่ายในไทย ด้วยตัวเลข 498,000 บาท
2024 Kawasaki ZX-6R รถซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ไซส์กลางที่ครั้งหนึ่ง ในช่วงปี 2022 มันเคยถูกระบุว่าอาจจะถูกยุติสายการผลิตไปตามเพื่อนๆในคลาสเดียวกัน เนื่องจากทางค่ายไม่ได้มีการอัพเดทความเคลื่อนไหวใดๆของตัวรถโมเดลปี 2023 เลยสักนิด
จนกระทั้งในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จู่ๆทาง Kawasaki บริษัทแม่ ก็ได้มีการเปิดตัว ZX-6R รุ่นใหม่ขึ้น ซึ่งความน่าสนใจของมันในคราวนี้ก็คือ การที่ตัวรถไม่ได้ถูกอัพเดทแค่ในเรื่องลวดลายกราฟฟิกใหม่ เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ร่างปรับโฉมรายปีเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนงานออกแบบแฟริ่งเปลือกนอก และปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ๆ จนกลายเป็นรถเจเนอเรชันใหม่อีกด้วย
เริ่มจาก งานออกแบบภายนอกช่วงครึ่งหน้า ที่ในคราวนี้มาพร้อมกับชุดแฟริ่งใหม่หมด ซึ่งดูยื่นยาวจากแนวด้านหน้าตัวรถออกมาน้อยลง แต่ก็ได้ชุดโคมไฟคู่หน้าแบบใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น และยังเปลี่ยนตัวโคมไฟด้านในจากแบบ LED-Reflector เป็น LED-Projector เช่นเดียวกับดวงไฟเลี้ยวคู่หน้า-คู่หลัง ที่ถูกเปลี่ยนจากหลอดไส้ เป็นหลอด LED แล้วเรียบร้อย
โดยที่ตัวปากช่องแรมแอร์ยังคงอยู่คั่นกลางไฟคู่หน้าดังเดิม และตัวชิลหน้าก็มีการปรับขนาดเล็กน้อย รวมถึงตัวจุดยึดกระจกมองข้างเอง ก็ดูเหมือนจะมีการปรับตำแหน่งใหม่อีกนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับสัดส่วนทางด้านหน้า
ส่วนงานออกแบบแฟริ่งข้างเอง ก็มีการปรับเปลี่ยนใหม่เช่นกัน และคราวนี้ ก็เปลี่ยนมาใช้เปลือกแฟริ่งข้างแบบ 2 ชั้น โดยมีช่องไล่อากาศ และครีบขนาดเล็กอยู่บริเวณด้านข้างของไฟหน้า สำหรับช่วยรีดลมร้อนออกจากตัวผู้ขี่ และยังช่วยเสริมแรงกดที่ล้อหน้า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจมาจากพี่ใหญ่ ZX-10R
นอกจากนี้ ลายเส้นสายต่างๆรอบคัน ก็ยังถูกปรับใหม่ให้ดูโค้งมนมากขึ้น ต่างจากเดิมที่จะดูมีความเป็นกรอบเส้นตรงมากกว่า จึงทำให้ตัวรถดูลู่ลมกว่าเดิม ส่วนด้านถังน้ำมันความจุ 17 ลิตร แฟริ่งใต้ถัง แฟริ่งท้าย แม้แต่ขายึดป้ายทะเบียนยังคงเหมือนเดิมทั้งหมด ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในส่วนของขุมกำลัง แม้จะยังคงเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง DOHC 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 636cc เหมือนเดิม แต่มันก็ได้รับการปรับปรุงไส้ในไปมากพอสมควร ตั้งแต่ชุดแคมชาฟท์ใหม่ กับท่ออากาศ (ปากแตร) ขาเข้าใหม่ ซึ่งถูกปรับปรุงให้เครื่องยนต์สามารถเค้นกำลังตั้งแต่รอบต่ำ-กลาง ได้ดียิ่งขึ้น
และเพื่อให้มันสามารถผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดกว่าเดิมได้ นอกจากการปรับปรุงเรื่องระบบการเผาไหม้ให้สมบูรณ์กว่าเดิม ตัวท่อไอเสียเอง ก็ได้ถูกปรับใหม่ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนรูปทรงแคทตาไลติก และปรับตำแหน่งการติดตั้งเซนเซอร์วัดระดับออกซิเจน (O2 Sensor) ใหม่ เพื่อการตรวจจับค่าความสะอาดของไอเสียที่แม่นยำขึ้น
อย่างไรก็ดี ด้วยความเข้มงวดของมาตรฐานมลพิษใหม่ จึงทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถเค้นกำลังได้น้อยลงจากโฉมก่อนหน้า นั่นคือลดลงจาก 129.44 PS ที่ 13,500 รอบ/นาที เหลือ 123.7 PS ที่ 13,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดเองก็ลดลงจาก 70.5 นิวตันเมตร ที่ 11,500 รอบ/นาที เหลือ 69 นิวตันเมตร ที่ 10,800 รอบ/นาที
ส่วนระบบส่งกำลังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใดๆ โดยยังคงเป็นชุดเกียร์ 6 สปีด ระบบคลัทช์มือ พร้อมควิกชิฟท์เตอร์แบบ 2 ทาง ขึ้น/ลง และระบบสลิปเปอร์คลัทช์มาให้ ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนทั้งอัตราทด หรือปรับปรุงชิ้นส่วนกลไกใดๆเพิ่มเติม นอกจากการปรับปรุงระบบซอฟท์แวร์ในส่วนตัวควิกชิฟท์เตอร์ และระบบโหมดการขับขี่ใหม่เล็กน้อยก็เท่านั้น
ในด้านชิ้นส่วนโครงสร้างหลักอย่างเมนเฟรมอลูมิเนียมทวินสปาร์ ยังไม่ได้มีการปรับปรุงใดๆเช่นกัน รวมถึงตัวระบบกันสะเทือน โช้กหน้าหัวกลับ Showa SFF-BP และโช้กหลังแบบแก๊สต้นเดี่ยว มีกระปุกซับแทงค์แยก ปรับเซ็ทได้ทุกค่า ทำงานร่วมกลไกกระเดื่องทดแรง Uni-Trak และสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ ก็ยังไม่ได้มีการปรับปรุงใดๆ
เช่นเดียวกับระบบเบรกแบบดิสก์คู่ด้านหน้า ที่ยังคงเป็นขนาด 310 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเบรก Nissin 4 พอท ด้านหลังดิสก์เดี่ยว ขนาด 220 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเบรกโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท ที่ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก เว้นเพียงตัวจานเบรกทั้งหมด เปลี่ยนจากจานหยัก เป็นจานกลม เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัส และให้อารมณ์ความเป็นรุ่นใหญ่มากขึ้น
รวมถึงระบบ ABS ก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่ ให้สามารถทำงานได้เรียบเนียน และฉลาดกว่าเดิม แต่เนื่องจากตัวรถยังคงไม่ได้รับการติดตั้งเซนเซอร์ IMU มาให้ มันจึงยังคงไม่มีระบบ Cornering ABS มาให้แต่อย่างใด
และสุดท้ายคือชุดล้อ ที่แม้จะรัดด้วยยางไซส์เดิม คือ ไซส์ 120/70-17 ทางด้านหน้า กับ 180/55-17 ทางด้านหลัง แต่รุ่นยางก็เปลี่ยนจาก Bridgestone BATLAX S22 เป็น Pirelli Diablo Rosso IV
ส่วนการปรับปรุงสุดท้าย คือเรื่องของชุดหน้าจอมาตรวัด ที่เปลี่ยนมาใช้จอ TFT Full Digital ขนาด 4.3 นิ้ว ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนอินเตอร์เฟซ และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ความสภาวะของแสงแวดล้อม รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านสัญญาณบลูทูธกับแอพพลิเคชัน Kawasaki RIDELOGY เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันระบบนำทางและอื่นๆได้อีก
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มฟังก์ชันในเรื่องของโหมดการขับขี่ จากเดิม ที่สามารถปรับได้เพียงแค่โหมด Full-Power กับ Low-Power และตัว Traction Control หรือระบบป้องกันล้อหลังลื่นไถลขณะเปิดคันเร่ง ก็ต้องปรับแยก
คราวนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นระบบ Power Mode ที่มีให้เลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, Road, Rain และ Rider ซึ่งในสามโหมดแรก จะเป็นโหมดสำเร็จรูป ที่จะปรับเปลี่ยนทั้งอัตราการตอบสนองของคันเร่ง กำลังเครื่องยนต์ และความไวของระบบป้องกันล้อหลังลื่นไถล ให้ตามค่าที่โรงงานกำหนด แต่ในโหมดสุดท้าย ผู้ใช้สามารถปรับค่าการทำงานของความแรงเครื่องยนต์ และความไวของระบบป้องกันล้อหลังลื่นไถลได้ตามใจชอบ แล้วแต่ความถนัดได้เลย
โดย Kawasaki ZX-6R รุ่นปี 2024 พร้อมเปิดให้ชาวไทยได้จับจองกันแล้ววันนี้ ด้วยราคา 498,000 บาท และจะมีเพียงเฉดสีเดียวเท่านั้นให้เลือกซื้อ นั่นคือสี LIME GREEN / EBONY ส่วนกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ จะเกิดขึ้นในงาน Motor Expo 2023 ซึ่งจะเริ่มงานในวันที่ 30 พฤศจิกายน เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 11 ธันวาคม ณ อิมแพ็คชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี