แม้ว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า จะมาเคาะประตูหน้าบ้าน ประเทศไทย จนหลายคนลั่นปากว่าสนใจถ้าอยากจะประหยัด แต่พูดตามตรงครับ กระดูกสันหลังของตลาดรถยนต์บ้านเรา ก็ไม่พ้นรถกระบะ และปีนี้ค่ายที่มาเปิดตัวรุ่นใหม่ คือ มิตซูบิชิ ที่ปล่อยก๊อก 2 กับ Mitsubishi Triton Ultra 4×4
ย้อนไปเมื่อตอนเดือยสิงหาคม หลังจากการเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ เป็นที่แรกในโลก Mitsubishi มองว่า รุ่นขับสองยกสูง น่าจะขายดี เนื่องจากที่ผ่านมา ทำยอดขายมาอย่างถล่มทลายตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทย มายาวนาน แม้ว่า ยอดขาย จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ จนเราแทบไม่เห็นรถรุ่นใหม่บนถนน จนหลายคนสงสัย
แต่วันนี้ มิตซูบิชิ ก็มั่นใจว่า การดึงจุดขาย อย่างรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ออกมาให้ลูกค้าได้สัมผัสจับจอง น่าจะได้นับความสนใจ เพราะกระบะไลฟ์สไตล์ เป็นอีกกลุ่มที่คนมองหา
การมาพบกันของผมกับ Mitsubishi Triton Ultra 4×4 น่าจะเรียกว่าเป็นครั้งแรก หลังจากเคยแอบขับตัวขับสองยกสูง แล้ว รู้สึกว่าค่อนข้างไปทางเฉยๆ ไม่ได้โดนใจเท่าไร
ตัวรถภายนอกจะพูดว่าหน้าตา เหมือนกัน ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ด้วยหน้าตา Dynamic Shield ใหม่ล่าสุด เพิ่มความเด่นสะดุดตา ผมกลับชอบหน้าของตัวนี้ที่มีเสน่ห์ในแบบตัวรถหรู มีโครเมี่ยมช่วงปีก ลงตัวกับกระจังหน้าสีดำ ดูหล่อเท่ห์ เด่นมาแต่ไกล
หลายคนวิจารณ์ทางเดียวกันว่า ด้วยการเล่นกระจังหน้าสีดำแบบนี้ มันทำให้ตัวรถดูดีกว่ากระจังหน้าสีเดียวกับตัวถังของ Athlete ที่วางเป็นตัวท๊อป เสียอีก
งานออกแบบ ที่เรียกว่า Beast Mode เด่นด้วยช่วงซุ้มล้อ ที่มีขนาดใหญ่มีคมสันมากขึ้น และความเหลี่ยมๆ ในรุ่นนี้ ทำให้ รถดูแข็งแกร่งบึกบึนมากขึ้น มากกว่าความปราดเปรียวในรุ่นก่อนหน้าที่วางขาย
ล้ออัลลอยด์ เป็นขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมยาง Bridgestone Dueler H/T ยางถนนที่พอลุยได้ ยามต้องการ
สไตล์ตัวรถ อาจไม่ได้ถึงกับหวือหวามากในภาพรวม มันคือรถกระบะพร้อมลุย ธรรมดาหนึ่งคัน
ผมนึกในใจถ้าไปแต่งต่อล่ะก็น่าจะออกมาดีทีเดียว แต่ยังไม่เห็นมีใครนำไปแต่งนะ
ก้าวขึ้นรถพร้อมออกลุย ในห้องโดยสาร สำรวจรวดเร็ว ครบเครื่องตามลูกค้าต้องการ หน้าจอเรือนไมล์ ออกมาเป็นไมล์เข็มดูง่าย อาจจดูอนุรักษ์นิยมไปบ้าง ตรงกลางมีจอข้อมูลขนาด 7 นิ้ว แสดงค่าต่างๆที่จำเป็นอย่างครบเครื่องที่อยากรู้
ตรงกลางขยับชุดจอเครื่องเสียงเป็น 9 นิ้ว บางคนอาจมองว่า จอมันขนาดไม่ใหญ่มาก สู้คู่แข่งไม่ได้ หากคู่แข่งบางรายจอใหญ่จริง แต่เป็นการวางแนวตั้ง เอาจริงพื้นที่การแสดงผลเลยไม่มากมายเท่าไรนัก และอยู่เตี้ย
พอขับบ่อยๆ ผมก็เริ่มเห็นด้วย เพราะจออยู่ในจุดที่เราต้องละสายตาจากถนน หากเรื่องความสามารถในการใช้งานก็ใช่แหละ
ในรุ่นนี้ ด้วยความเป็นรุ่นขับเคลื่อน สี่ล้อ ก็เลยมีสวิทช์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมาให้ โหมดการขับขี่ ถูกเพิ่มเข้ามา รองรับการใช้งานสมบุกสมบัน บางคนมองว่ามันเป็นแค่ สวิทช์ธรรมดา และวางเหมือนไม่มีศิลป์ในการออกแบบ จริงๆในแง่การใช้งานผมว่าดีเลย มันง่ายพอตัว กดก็พร้อมตอบโจทย์ได้ทันทีทันใด
การทดลองขับ
ใต้เรือนร่าง Mitsubishi Ultra 4×4 มาพร้อม เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร ซึ่งตัวนี้ยังคงได้เทอร์โบเดี่ยว และให้กำลังขับสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร มาพร้อม ชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ไม่ใช่รุ่นเทอร์โบคู่ 204 แรงม้า เพราะทาง Mitsubishi บอกว่าจะสงวนไว้ให้เฉพาะรุ่น Athlete เท่านั้น
และเมื่อมองจากตัวเลขสเป็ค หลายคนจะร้องยี้ทั้นที เพราะมันไม่แรง ตัวเลขไม่เร้าใจ และจะว่าไป ยังเป็นรองค่ายนิสสัน อยู่อีกพอตัว
แต่ถ้าเรากลับมามองว่า นี่คือ ตัวเลขพละกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว กลุ่มไม่เกิน ขนาด 2.5 ลิตร ล่ะ ?
ตัวเลขกำลังของ มิตซูบิชิ นับว่าไม่ขี้เหร่เลย กำลังของมัน ดีกว่าค่าย ฟอร์ด อยู่ถึง 14 แรงม้า แรงบิดดีกว่า ราวๆ 10 นิวตันเมตร และ ยังดีกว่า โตโยต้า ด้วย กำลังมากว่า 34 PS และ แรงบิดดีกว่า 30 นิวตันเมตร
พลังขับดีมีชันไม่พอ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ของ มิตซูบิชิ ก็ไม่ธรรมดา ระบบ Super Select 4WD II มีความสามารถพิเศษ คือ มีเฟืองล็อคเพลากลาง ซึ่งตัวลุยยี่ห้ออื่น ไม่มีแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในโหมด 4H ของ มิตซูบิชิ สามารถแปรผันกำลังขับได้ หรือ พูดแบบให้เข้าใจง่าย ระบบ มีความสามารถเทียบเท่ากับ ระบบขับเคลื่อนแบบ All Wheel Drive ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับทางลื่น อย่างหน้าฝน หรือ ทางฝุ่นจะขับห่ามๆ สนุกๆ ก็ทำได้สบายมาก ถ้ากล้าพอ
ครั้งนี้ เราลองขับในสนามทดสอบสั้นๆ เราเริ่มการขับบนถนนทางแห้ง ใช้ขับเคลื่อนสองล้อ ระหว่างทางก็บิด ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4H สามารถบิดหมุนใช้งานได้ทันที ใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนโหมด โดยไม่ต้องหยุดรถ และใครกังวลว่าใช้ 4H ต้องขับความเร็วต่ำอย่างเดียวไหม ตอบเลยว่าไม่ มิตซูฯการันตี จะล็อคโหมดนี้ขับซิ่ง ก็ทำได้ ถ้าคุณต้องการ
ในเมื่อปรับเป็นขับสี่แล้ว เราก็มาถึงทางลุย ไม่รอช้า กระโจนพร้อมทันที ทางที่เราลอง เป็นทางดินทรายแน่นๆ ขับไป สัมผัสของล้อ 18 เลยรู้สึกว่าช่วงล่างค่อนข้างนุ่ม ไม่ค่อยกระแทกกระทั้น แอบมีความนุ่มพอตัว เวลามาอยู่บนทางลุย
ผ่านทางทรายไม่นาน พอสาดโค้งม้วนกลับมา กลายเป็นทางหิน อาการสะเทือนเข้ารถน่าพอใจ แม้ใช้ความเร็ว 20-30 กม./ชม.
ระบบขับสี่ตอบความบันเทิงสายลุยดี รู้สึกมั่นใจพอสมควร แม้ใช้ความเร็ว
แต่ช่วงเวลาความบันเทิงเราหมดลงอย่างรวดรเ็ว เมื่อต้องมาเจอบทโหดอย่างด่านโคลน
โคลน เรียกว่า เป็นศัตรูตัวฉกาจของสายลุย เมื่อฟ้าฝนเป็นใจ ฝนเทลงมาทางที่ง่ายกลายเป็นเรื่องยากดคลน หรือ ดินหนังหมู เป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ ในทางลุย
ศักยภาพของ Mitsubishi Triton Ultra 4×4 นอกจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ยังเติมโหมด Mud สำหรับทางโคลน และ ยังมีโหมด Sand สำหรับทางทราย
โหมดการขับขี่อาจไม่ใช่ของใหม่ เสียทีเดียว ในไทรทันรุ่นที่แล้วก็มี แต่อยู่โคตรลึก ใช้งานโคตรยาก งวดนี้ทำออกมาเป็นปุ่มปรับแบบคีย์ลัด เรียกว่าดีงาม พระราม 8 พอสมควร
เวลากดเปลี่ยนโหมดก็ไม่ยาก กดปุ๊ปใช้งานได้ทันที และเพื่อความพร้อมในการลุยมากขึ้น เราเปลี่ยนจาก 4H มาเป็น 4 HLC ด้วย
ระบบ 4 HLC มันคือ การล็อคเพลากลาง เพื่อถ่ายกำลังขับเป็น หน้า-หลัง 50-50 สำหรับทางลุย คล้ายกับ 4H ของค่ายอื่น ที่จะล็อคเพลากลางมาตั้งแต่แรก
ผมกดโหมด โคลนพร้อมลุย เส้นทางเละๆ ไม่ไกลมาก แค่กับกระบะเดิมๆ ก็ยอมรับว่ามีเสียวติดเหมือนกัน เพราะทางแบบนี้ ล้อที่วิ่งปั่นและย่ำต่อเนื่อง จะกลายเป็นขุดหลุมไปเรื่อยๆ จากหลุมกลายเป็นร่อง เป็นบ่อได้ในที่สุด
ในโหมดนี้ ระบบจะทำการ ปรับการตอบสนองชุดเกียร์ และคันเร่ง เพื่อให้พร้อมสำหรับทางลุยที่เราเลือก ผมจับสังเกตได้ว่า เวลากดคันเร่งไปแล้ว จะไม่ปื้ด ปล่อยพลังจะมีระยะคิด แล้วค่อยๆ รีดแรงบิดออกมา มันดีมาก สำหรับสายลุยมือใหม่ทั้งหลาย ที่ยังคุมคันเร่งไม่เที่ยง โดยเฉพาะเมื่อเจอเหตุแบบนี้อาจตื่นเต้น จนแทนที่จะได้กลับบ้านกลายเป็นนอนกลางป่าแทน
การอาศัยการปล่อยพลัง ดูเหมือนจะยังทำงานร่วมกับพวก VSC ด้วย ล้อที่ลื่นจะมีการปรับ ให้แทรคชั่นทำงานไปด้วย จนรู้สึกว่า ทางโคลนไม่ใช่เรื่อยยากอะไร
จากโคลน ก็มาต่อที่การดำน้ำ วันนี้น้ำไม่สูงเพียง 30 ม. แต่การลงบ่อน้ำ มีมุมหักลุกอยู่ในระดับหนึ่ง ลงปุ๊ป น้ำถึงขอบฝากระโปรงหน้า เจ้าไทรทั่น ผันตัวเป็นเรือ ให้เราผ่านทางไปชั่วคราว อย่างสบายๆ
เสร็จสรรรพ วนกลับจุดเริ่มต้น สำรวจ ลงมารถไม่ช้ำเท่านี้ก็ ผ่านคุณสมบัติ รถลุย ที่วางใจได้แล้ว
Mitsubishi Triton Ultra 4×4 รุ่นนี้ลุยคุ้ม ถ้าไม่มองพลังขับ
ผมลงมาจากรถ พร้อมกับความรู้สึกที่ดี กับเจ้า ไทรทันพร้อมลุยคันนี้ ถึงมันจะไม่มีพลังขับ 204 ม้า ที่หลายคนอยากได้ แต่ ศักยภาพของมันก็จัดว่าเป็นรถลุย ที่พร้อมในแถวหน้าเหมือนกัน
เรื่องพลังขับอาจไม่มาก บางคนบอก 184 ม้า น้อยไป แต่อย่าลืมครับ รถลุยในอดีต กำลังขับก็ไม่มากมาย ทะลุ 200 ม้า ย้อนไป 15 ปีที่แล้ว รถลุย ตัวท๊อป พลังยังไม่ถึง 160 ม้า ด้วยซ้ำไป และ บางค่ายก็ยังทำแบบนั้น เพราะคนส่วนใหญ่สายลุย ต้องการรถลุยราคาจับต้องได้
จุดเด่นจองรถคันนี้แม้จะลุยสั้นๆ คือ ระบบเกียร์ ขับสี่ ที่มีลูกเล่นในตัว โดยเฉพาะการปรับให้เป็นระบบ All Wheel Drive ได้ ปัจุจบันรถราคาระดับเดียวกัน ยังไม่มีใครทำได้ สายกระบะด้วยกันก็เห็นทีจะมีแต่แรพเตอร์ เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ถ้าคิดจะเอาแต่ระบบ AWD ไทรทั่นคุ้มกว่า อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในเรื่องควาทนทานในสไตล์มิตซูบิชิ ซื้อแล้ว ใช้ได้ยันลูกบวช ก็มั่นใจกว่า อย่างชัดเจน
เวลาใครจะซื้อรถลุย ก็คงคิดเหมือนผม ขับไปบ้าน ลุยเสร็จกลับบ้าน ได้ เป้นเรื่องสำคัญที่ผ่านมา มิตซูบิชิ เป็นหนึ่งในรถลุยที่ขึ้นชื่ออีกรุ่นในทางสมบุกสมบัน
แต่ถ้าคุณอยากได้ สมรรถนะที่มากกว่า อาจจะต้องมองในรุ่นจัดเต็ม Athlete ทางมิตซูบิชิ ยืนยันว่า มันจะขายในปีหน้า กับ ขุมพลัง 204 ม้า เทอร์โบคู่ ที่หลายคนรอคอย