หลังมีข่าวคราวและภาพหลุดอยู่นาน ในที่สุด ” Xiaomi SU7 ” รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจาก Tech-Brand เจ้าดัง ก็ได้ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการสักที
Xiaomi SU7 คือรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่พอตัว ด้วยมิติตัวเลข ด้านยาว 4,997 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 1,963 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,455 มิลลิเมตร, และระยะฐานล้ออีก 3,000 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,980 – 2,205 กิโลกรัม แล้วแต่รุ่นย่อย
ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากไม่นับน้ำหนักตัวที่ไม่หนีไปจากรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนในไทยมากนัก แต่ขนาดตัวรถทั้งคัน ก็ถือว่าใหญ่กว่ารถยนต์ซีดานไฟฟ้าที่วางจำหน่ายอยู่ในไทยเกือบทั้งหมด เพราะที่ใหญ่กว่ามันแบบ ชัดๆจริงๆมีเพียง Mercedes-Benz EQS / BMW i7 และมันก็จัดว่ามีขนาดตัวที่เทียบเท่ากับ Porsche Taycan
ส่วนงานออกแบบตัวรถภายนอก หลักๆแล้วจะเน้นการใช้เส้นสายที่โค้งมนเป็นหลัก เพื่อความลื่นไหลของอากาศขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยงานดีไซน์ของช่วงหน้าตัวรถนั้นแอบให้ความรู้สึกคล้ายกับรถซุปเปอร์คาร์ McLaren อยู่นิดๆ และชายล่างเองก็มีการออกแบบให้ดูยื่นยาวออกจากแนวตัวถังเล็กน้อย เพื่อเสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ต
เช่นเดียวกับด้านท้ายรถที่ถูกเสริมความหล่อด้วยกันชนท้ายแบบมีช่องดิฟฟิวเซอร์ชนาดใหญ่ ก่อนที่จะเขยิบขึ้นไปเป็นแถบไฟท้ายแบบ Cross Tailight ตามสมัยนิยม และชุดสปอยเลอร์หลังแบบปรับความสูงด้วยระบบไฟฟ้าแปรผันตามความเร็วขณะวิ่ง
ส่วนชุดล้อลายสปอร์ตจ๋าที่ให้มาก็มีให้เลือกทั้งแบบขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 245/45 R19 และ 21 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 245/40 R20 แล้วแต่รุ่นย่อย
ในส่วนงานออกแบบภายในห้องโดยสาร ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมามากนัก นอกไปเสียจากการเผยให้เห็นชุดคอนโซลหน้าว่าจะมีการเล่นเส้นสายที่โค้งมนไม่แพ้ภายนอก และมีการเล่นลักษณะคอนโซลให้เป็นแบบ Dual-Layer ส่วนพวงมาลัยเอง ก็มีความสปอร์ตพอสมควร แต่เรายังไม่สามารถระบุได้ว่ามันจะมีปุ่มมัลติฟังก์ชันใดบ้างอยู่บนก้านซ้าย-ขวา
นอกจากนี้ ยังดีที่ทางค่ายไม่ได้เน้นการใส่ความมินิมอลเข้าไปมากเท่าไหร่นัก จนทำให้คอนโซลดูโล่งเกินไป เพราะบนคอนโซลหน้า ยังคงมีการติดตั้งชุดจอสำหรับแสดงผลข้อมูลตัวรถอยู่ ส่วนชุดจอกลาง ก็ถูกระบุว่าจะมีขนาดใหญ่ถึง 16.1 นิ้ว ซึ่งเทียบเท่ากับแล็ปท็อปขนาดกลาง พร้อมใส่ระบบปฏิบัติการ HyperOS ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถใช้งานมันได้ในลักษณะที่แทบไม่ต่างจากการใช้แท็บเล็ตของแบรนด์
ส่วนคอนโซลกลาง ไม่ได้มีการใส่ลูกเล่นที่หวือหวามากนัก เพราะจากที่สังเกตได้ มีเพียงแค่การออกแบบช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง ถาดวางสำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย และปุ่มกดปรับลูกเล่นต่างๆ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจเป็นปุ่มปรับตำแหน่งเกียร์ก็เป็นได้
ในส่วนขุมกำลังตัวรถรวมถึงระยะทางในการใช้งาน เบื้องต้นมีการแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่
- แบบมอเตอร์เดี่ยว สำหรับขับเคลื่อนชุดล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุด 299 PS และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.28 วินาที และเคลมความเร็วสูงสุดที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมแบตเตอรี่ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 668 กิโลเมตร/ชาร์จ (ตามมาตรฐาน CLTC)
- แบบมอเตอร์คู่ สำหรับขับเคลื่อนชุดล้อทั้งสี่ ให้กำลังสูงสุด 673 PS และแรงบิดสูงสุด 838 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 2.78 วินาที และเคลมความเร็วสูงสุดที่ 265 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมแบตเตอรี่ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 800 กิโลเมตร/ชาร์จ (ตามมาตรฐาน CLTC)
ส่วนมาตรฐานในการชาร์จไฟกลับของแบตเตอรี่ที่ระบุว่าเป็นการพัฒนาร่วมกับทาง BYD ก็เป็นแบบเตอรี่มาตรฐาน 800v ช่วยให้มันสามารถชาร์จไฟสำหรับการวิ่งได้เป็นระยะทาง 220 กิโลเมตร ใน 5 นาที และชาร์จสำหรับการวิ่งระยะทาง 510 กิโลเมตร ได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที เท่านั้น
ไฮไลท์สำคัญของตัวรถ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องขุมกำลังและสมรรถนะเท่านั้น แต่ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบควบคุมอัจฉริยะต่างๆมากมาย ด้วยเซนเซอร์หลากหลายชนิด ทั้ง กล้องความคมชัดสูง, LiDar Sensor ติดตั้งบนหลังคา, เรดาร์คลื่นสั้น, เรดาร์ความเร็วเสียง, เซนเซอร์วัดแรงเฉื่อย IMU, และชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นงานถนัดของทาง Xiaomi อยู่แล้ว
จากทั้งหมดที่ว่ามา ช่วยให้ระบบอัจฉริยะที่ว่านี้ สามารถประมวลผลข้อมูลโดยละเอียดได้มากมาย ทั้งเส้นทาง สภาพการจราจร ไปจนถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูงต่างๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่าจะมีระบบใดบ้าง แต่ก็คาดว่าจะมีให้ครบครัน หรืออาจะมีบางฟังก์ชันที่เกินกว่าคู่แข่งไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งต้องรอการเปิดเผยข้อมูลอีกครั้งเมื่อมีการขายจริง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงไม่เกินกลางปีหน้า