Home » BMW ฉลองครองตำแหน่ง “ผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียม” ในไทย 4 ปี ซ้อน
ข่าวประชาสัมพันธ์ การตลาด และ โปรโมชั่น ข่าวสารยานยนต์

BMW ฉลองครองตำแหน่ง “ผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียม” ในไทย 4 ปี ซ้อน

BMW Group ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จอีกครั้งด้วยผลการดำเนินงานในภาพรวมประจำปี พ.ศ. 2566 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมยอดจดทะเบียนที่แข็งแกร่งทั้งในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและกลุ่ม Luxury Class ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 4

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและ CEO BMW Group ประเทศไทย กล่าวถึงผลงานความสำเร็จใน
ปี พ.ศ. 2566 ว่า “BMW Group ประเทศไทย มุ่งมั่นในการผลักดันนวัตกรรมความเป็นเลิศทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความพยายามดังกล่าวสะท้อนออกมาให้เห็นเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากลูกค้าในประเทศไทยซึ่งยังคงให้ความไว้วางใจกับแบรนด์ BMW, MINI และ BMW Motorrad

ในปีที่ผ่านมา เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากความสำเร็จที่พนักงานและผู้จำหน่าย BMW และ MINI อย่างเป็นทางการทุกคนต่างมีส่วนช่วยให้เรายังครองตำแหน่งผู้นำในเซ็กเมนต์รถยนต์พรีเมียมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2566

นอกจากนี้ เป้าหมายการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืนของเราก็ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยูยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในไทย ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า และการก้าวสู่อนาคตของยานยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น”

“กลุ่มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ BMW Group ประเทศไทย ยังคงมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่เพิ่มขึ้นสองเท่า (200%) จากปี พ.ศ. 2565

ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งหมด ที่ 1,604 คัน จากรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 6 รุ่น ที่เปิดตัวในตลาดประเทศไทย ได้แก่ BMW iX3, BMW iX, BMW i4, BMW i5, BMW i7 และ MINI Cooper SE

ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์ในกลุ่ม Luxury Class ของ BMW ได้แก่ BMW Series 7, BMW i7, BMW Series 8, BMW X7 และ BMW XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 ทั้งหมด 668 คัน เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า

สำหรับรถยนต์ BMW และ MINI มียอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 รวมทั้งหมด 15,477 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์BMW 14,128 คัน และ MINI 1,349 คัน ส่งผลให้เรายังคงครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งมาเป็นปีที่สี่ติดต่อกันในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียม

ในขณะที่ BMW Motorrad ประเทศไทย ยังคงรักษาผลงานที่แข็งแกร่งด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 รวมทั้งหมด 1,079 คัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าในประเทศไทยที่ยังคงไว้วางใจและเลือกให้เราเคียงข้างในทุกการเดินทาง”

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2566 BMW Group ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระดับโลก ด้วยยอดขาย BMW, MINI และ Roll Royce ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5%

โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4% จากปี พ.ศ. 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน สะท้อนถึงความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตอบรับเทรนด์พลังงานสะอาดที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

ซึ่งทาง BMW Group มองว่าเทรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในหมู่ผู้ใช้งานจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี พ.ศ. 2567 นี้

ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่โดดเด่นในปี พ.ศ. 2566 ตอกย้ำบทบาทของบริษัทในฐานะผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ BMW Group ประเทศไทย จะยังคงมุ่งก้าวไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและมีความยั่งยืนต่อไปในปี พ.ศ. 2567

ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมของไทยเป็นปีที่ 4 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพ นวัตกรรมการออกแบบ และการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งกว่าใครของ BMW และ MINI รวมทั้งตอกย้ำเป้าหมายในระยะยาวของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งมอบสุนทรียะแห่งการขับขี่ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.