ขณะที่หลายผู้ผลิตพากันประกาศ “ขีดเส้นตาย” การขายรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Aston Martin ที่ประกาศว่าพวกเขาจะยังคงขายรถที่ใช้ขุมกำลังชนิดนี้ต่อไปให้นานที่สุด ตราบใดที่ยังไม่ถูกแบนหรือสั่งห้ามไปเสียก่อน
อย่างที่หลายคนพอจะทราบกัน ว่าในปัจจุบันมีหลายผู้ผลิตพากันประกาศการเตรียมผันตัวเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ให้ได้ภายในช่วงปี 2027 – 2030 เพื่อให้สอดรับกับมาตราการภาครัฐในหลายๆประเทศ ที่ต้องการจะลดการปลดปล่อยมลพิษสู่ธรรมชาติให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050
อย่างไรก็ดี ช่วงขวบปีที่ผ่านมา จากความจริงในเรื่องยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ได้พุ่งตัวอย่างก้าวกระโดดเหมือนในช่วงปีก่อนหน้า บวกกับความเป็นไปได้ที่ยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปภายในเริ่มมองเห็นหนทางว่ามันอาจสามารถปรับตัวให้ใช้เชื้อเพลิงที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ได้ และยังรวมถึงความสะดวกของผู้คนในการเข้าถึง หรือการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั่วโลกที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทำได้แบบ 100% ในทศวรรษนี้
ทำให้หลายผู้ผลิตต้องตัดสินใจปรับแผนการขีดเส้นตายรถยนต์สันดาปภายใน แม้แต่ในบางประเทศของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการประกาศแบนยานพาหนะชนิดนี้ก็ยังต้องประกาศเลื่อนกำหนดการแบนออกไป จากปี 2030 เป็น 2035 เช่น ประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร เป็นต้น
จากความจริงที่เกิดขึ้นข้างต้น ทำให้ล่าสุดทาง Aston Martin ต้องพิจารณาโปรเจ็กท์การทำรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของพวกเขาใหม่ เนื่องจากพวกเขาเองก็มองว่า “มีแต่กระแส” เท่านั้น ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าดูน่าสนใจ แต่เมื่อมองไปที่ความต้องการของลูกค้าจริงๆในมุมมองของตัวแบรนด์ มันกลับยังไม่มากพอที่จะทำรถยนต์แบบนี้ออกมาขายตามกำหนดเดิมที่พวกเขาวางไว้
โดยหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปีที่แล้ว พวกเขาได้มีการประกาศความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 100% ร่วมกับแบรนด์ Lucid ทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์แนวครอสโอเวอร์ ไปจนถึงซุปเปอร์คาร์ และคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ จะพร้อมโชว์ร่างขายจริงในปี 2025
แต่ล่าสุดพวกเขาก็ได้ประกาศออกมาว่าโปรเจ็กท์รถยนต์ในกลุ่มดังกล่าวจะมีการดีเลย์ออกไป โดยตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์คาดว่าจะปรากฏตัวร่างขายจริงในช่วงปี 2027 แทน
นอกจากนี้ Lawrence Stroll ประธานกรรมการบริหารของ Aston Martin ยังระบุว่า ด้วยการทำรถยนต์ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทำให้ “ตราบใดที่เรายังได้รับอนุญาตให้ทำรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน เราก็จะทำมันต่อไป, ผมคิดว่ายังไงมันก็มีความต้องการอยู่ตลอด, แม้จะน้อยนิดก็ตาม (แต่เราก็จะทำ)”
ดังนั้น เพื่อให้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในของพวกเขายังคงสามารถขายต่อไป ในยุคที่ภาครัฐเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษ ด้วยเป้าหมายที่ว่า ทางค่ายจึงได้มีการประกาศว่าตอนนี้พวกเขาจะขอทุ่มกำลังไปกับการพัฒนารถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดก่อน เนื่องจากมันดูตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของแบรนด์มากกว่า
โดยเป้าหมายเบื้องต้นในการทำตลาดรถยนต์ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทางผู้บริหารของแบรนด์ระบุว่า พวกเขาจะต้องวางจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดคันแรกของแบรนด์ภายในปี 2024 นั่นคือ รถยนต์ซุปเปอร์คาร์ตัวแรงอย่าง Aston Martin Valhalla
จากนั้นในปี 2026 รถยนต์ทุกรุ่นของ Aston Martin จะมีรุ่นย่อยที่ใช้ขุมกำลังไฮบริดเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และท้ายสุดในปี 2030 รถยนต์ทุกรุ่นของแบรนด์ จะมีรุ่นย่อยตัวขายหลัก เป็นตัวเลือกที่มาพร้อมขุมกำลังพลังงานไฟฟ้า(ไฮบริด)ทั้งหมด โดยหลักๆแล้วจะเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ของ Mercedes ทำงานร่วมกับระบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่ามีแน่ๆ
ส่วนตัวรถที่ใช้ขุมกำลัง V12 ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ยังคงต้องรอดูกันต่อไป หากโอกาสเอื้อ มันก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกตัวแรงให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน