จากความจริงที่ว่า BMW M4 CSL ถูกสร้างมาแค่เพียง 1,000 คันบนโลก จึงทำให้สาวกหลายคนอาจจับจองไม่ทัน และวันนี้ทางค่ายก็ได้เปิดตัว M4 อีกรุ่นออกมาปลอบใจ และนั่นคือตัวรถรหัส CS โฉมใหม่ ที่แม้จะหนักกว่า แต่แรงม้ายังคงเท่าเดิม !
2025 BMW M4 CS คือรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง BMW ที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่าง BMW M4 รุ่นพื้นฐาน (จะ M4 เฉยๆ หรือ M4 Competition ก็ตามแต่) กับตัวรถรุ่นท็อปสุดอย่าง M4 CSL รุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน ที่ผลิตขึ้นมาเพียง 1,000 คันบนโลก (และมีเพียง 4 คันเท่านั้น ที่ถูกนำมาให้ชาวไทยได้จับจอง โดย BMW Thailand)
และแม้จะบอกว่ามันเป็นตัวรถที่ยังไม่ถึงขั้น CSL แต่เจ้า M4 CS รุ่นนี้ ก็มาพร้อมกับชุดแต่งภายนอกที่ให้อารมณ์ตัวแข่ง ตัวแรง ไม่ต่างจากรุ่นท็อป ทั้งกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่พร้อมกรอบสีแดงอมส้ม (และเปลี่ยนตัวอักษรชื่อรุ่นเล็กน้อย), กันชนหน้าพร้อมช่องดักลมซ้าย-ขวาขนาดใหญ่ และครีบคาร์บอน, ชายล่างคาร์บอน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง, ฝากระโปรงหน้าคาร์บอน, หลังคาคาร์บอน, สปอยเลอร์หลังคาร์บอนทรงตูดเป็ด, ดิฟฟิวเซอร์คาร์บอน, ครอบปลายท่อคาร์บอน และกระจกมองข้างคาร์บอน
หากยังไม่พอ ยังมีชุดล้อ M Alloy Forge แถมยางกึ่งสนามมาให้, ไฟหน้าพร้อมแถบแหวนสีเหลือง แรงบันดาลใจจากตัวแข่ง GT3 (แต่ตัวรถ CSL ที่ขายในไทย กลับได้แถบไฟสีฟ้า เหมือนรถ M4 ปกติ ไม่ได้เป็นสีเหลืองเหมือนตัวนอก), และไฟท้ายลายกราฟฟิกแบบพิเศษ เหมือน M4 CSL แทบทุกรายการอีก ชนิดที่ว่าถ้ามองจากภายนอก แทบจะไม่เห็นความแตกต่างใดๆเลย ระหว่างตัวรถรหัส CS กับ CSL
แต่แน่นอน ด้วยความที่ตัวรถ ไม่ได้มีรหัส L ซึ่งหมายถึงคำว่า Lightweight ดังนั้น ทาง BMW จึงไม่ได้ติดตั้งชิ้นส่วนไล่เบาในด้านอื่นๆมาอีกเล็กน้อย เหมือน CSL นั่นคือ ฝากระโปรงท้ายคาร์บอน กับเบาะนั่งหลังแข็งคาร์บอนแบบ Bucket Seat มาให้
และตัวรถจะยังคงได้รับการติดตั้งเบาะหลังสำหรับผู้โดยสารแถว 2 กับแผ่นซับเสียงต่างๆ เท่ากับ M4 Competition และอย่างน้อยก็ยังได้เบาะนั่งหลังคาร์บอนมาอยู่ แม้จะไม่ใช่แบบหลังแข็งก็ตาม (แต่มองอีกด้านคือ แม้จะหนักกว่า แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นเบาะที่สามารถปรับระดับความเอนของพนักหลังได้ ซึ่งอาจจะนั่งสบายกว่าเบาะหลังแข็งของ M4 CSL)
จากความแตกต่างที่เกิดขึ้นตรงนี้ ทำให้ BMW M4 CS จะมีน้ำหนักตัวที่เบากว่า M4 Competition เพียง 20 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งต่างจาก M4 CSL ที่สามารถลดน้ำหนักลงไปได้มากกว่ากันถึง 108 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ทั้งนี้ แม้ตัวรถจะเบากว่า M4 Competition ไม่มากนัก แต่นอกจากความหล่อภายนอก ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ M4 CSL ขุมกำลังของมันยังแรงเท่ากับตัวรถร่างเรือธงที่ว่านี้ด้วย
นั่งจึงหมายความว่า เครื่องยนต์ S58 เบนซิน 6 สูบเรียง เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร ของมัน จะได้รับการปรับจูนใหม่จาก BMW M4 Competition ให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นมาอีก 20 PS เป็น 550 PS และให้แรงบิดสูงสุดอีก 649 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เท่านั้น ไม่มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดาอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้น ด้วยการปรับจูนกล่องสมองกลเกียร์ใหม่ และปรับปรุงจุดยึดแท่นเกียร์ใหม่ ทาง BMW จึงระบุว่า ในยามที่คุณต้องการความดุดันในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ คุณจะสามารถรู้สึกถึงความกระชับและฉับไวของเกียร์ในแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนเกียร์ได้ชัดเจน และมีอารมณ์ร่วมสนุกไปกับการขับขี่ได้เป็นอย่างดีแน่นอน
และหากเท่านั้นยังไม่พอ ตัวท่อไอเสียที่ติดรถมา ก็ยังได้รับการปรับจูนโทนเสียงใหม่ โดยจะปรับเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ที่ใช้ โดยเฉพาะโหมด Sport กับ Sport+ ที่จะมีการเปิดใบวาล์วคุมเสียงตั้งแต่แรกค้างไว้เลย เพื่อให้เสียงท่อมีความกระหึ่ม ตั้งแต่รอบเดินเบาไปจนถึงเรดไลน์
ด้านระบบขับเคลื่อนเอง ก็จัดเต็มด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ซึ่งช่วยให้ตัวรถสามาถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.4 วินาที และยังมีการเคลมความเร็วสูงสุดไว้ที่ 302 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โดยหากคุณเบื่อ หรือไม่อยากให้รถมีความหนึบในทุกสภาวะขนาดนั้น ก็สามารถปรับเปลี่ยนอัตราการถ่ายแรงบิด ให้ใกล้เคียงกับรถขับเคลื่อนล้อหลังได้ เผื่อฝึกควบคุมการท้ายสไลด์ หรืออยากจะสไลด์ท้ายออกโค้งแบบเท่ๆก็ตามแต่ และในขณะเดียวกัน เรายังสามารถปรับให้รถถ่ายกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้ามากกว่าล้อหลังได้ด้วย เผื่อในจังหวะที่ถนนลื่นจริงๆ ตัวรถจะได้มีอัตราความเสี่ยงที่จะท้ายสไลด์น้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แทน
และในเมื่อเครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น น้ำหนักตัวรถเบาลง และระบบขับเคลื่อนเอง ก็ยังถูกปรับจูนมาใหม่ ระบบกันช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของตัวรถเอง ก็จะต้องได้รับการปรับเซ็ทใหม่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวโช้กอัพปรับไฟฟ้า Adaptive M suspension, พวงมาลัยไฟฟ้า M Servotronic steering, และ ระบบควบคุมแรงเบรก Integrated braking system
รวมถึงมีการปรับทั้ง มุมแคมเบอร์, ความหนืดโช้ก, สปริงโช้ก, และเหล็กกันโคลงหน้า-หลังใหม่ เพื่อให้เข้ากับตัวรถ M4 CS มากขึ้นด้วย ไม่ได้ยกเซ็ทอัพมาจาก M4 Competition หรือ M4 CSL มาตรงๆแต่อย่างใด
ท้ายสุด ในงานตกแต่งห้องโดยสาร นอกจากเบาะนั่งที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้ ที่เหลือก็ล้วนตกแต่งด้วยแบบแผนเดียวกันกับ M4 CSL ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การตกแต่งวัสดุคอนโซลหน้าด้วยชิ้นงานคาร์บอน สลับกับหนังกลับอัลคันทาร่า เช่นเดียวกับที่ชุดครอบอุโมงเกียร์, พวงมาลัย, และแผงประตู
นอกนั้นในส่วนของชุดจอระบบอินโฟเทนเมนท์ ขนาด 14.9 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับจอแสดงผลข้อมูลตัวรถ ขนาด 12.3 นิ้ว เป็นชุดเดียวแบบ Curved Display ก็มีการปรับปรุงระบบเฟิร์มแวร์ หรือระบบปฏิบัติการใหม่ เป็น BMW iDrive 8.5 และแน่นอนว่าตัวอินเตอร์เฟซ รวมถึง Welcome Graphic กับหน้าจอลูกเล่นยิบย่อยต่างๆเอง ก็ยังถูกตกแต่งให้เป็นแบบเฉพาะของ M4 CS ด้วย
โดย BMW M4 CS จะพร้อมวางจำหน่ายด้วย 4 เฉดสี ได้แก่ Brooklyn Grey Metallic, Black Sapphire Metallic ซึ่งเป็นสีที่มีอยู่แล้วใน BMW M4 รุ่นพื้นฐาน และสี Riviera Blue หรือ Frozen Isle of Man Green ที่เป็นสีเฉพาะของตัวรถ ในหมวด BMW Individual
ส่วนชุดสีภายในห้องโดยสาร จะมีเพียงแบบเดียว นั่นคือ สีทูโทน ดำ-ส้ม และชุดล้อก็สามารถเลือกได้ ว่าจะใช้สีดำด้าน หรือ ทองด้าน แบบเดียวกับตัวรถคันโปรโมท
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในตอนนี้ก็มีการประกาศตัวเลขออกมาแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าจะอยู่ที่ 123,500 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 4,564,000 บาท ไม่รวมค่าขนส่ง ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทย ยังต้องรอติดตามข้อมูลกันต่อไป
และทิ้งท้ายไว้อีกนิดคือ ตัวรถรุ่นนี้ ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นแบบจำนวนจำกัด แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับทาง BMW Thailand อยู่ดี ว่าจะสามารถสั่งรถเข้ามาขายในไทยในล็อตแรกๆได้กี่คัน