หลังประกาศยุติการรับจองตัวรถพร้อมขุมกำลัง V8 ล้วนไปเพียงไม่นาน ในวันนี้ Bentley ก็ได้เปิดตัว Continental GT รุ่นใหม่ สำหรับปี 2025 ออกมาทันที พร้อมระบุว่าตอนนี้มันจะมีแต่รุ่นขุมกำลังไฮบริดเท่านั้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ
2025 Bentley Continental GT ถือเได้ว่าเป็นการปรับโฉมเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 4 อย่างเป็นทางการ ซึ่งการปรับโฉมครั้งใหญ่ในคราวนี้ ต้องบอกว่ามันมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากรุ่นพี่ไปหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องขุมกำลัง ที่นอกจากมันจะไม่มีรุ่นเครื่องยนต์ W12 อันเป็นตำนานของแบรนด์เหมือนพี่ๆทั้ง 3 เจเนอเรชันก่อนหน้า อีกต่อไปแล้ว ขุมกำลัง V8 ของมัน ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบ Plug-In Hybrid เป็นครั้งแรกของตระกูลอีกด้วย
โดยคราวนี้ เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบคู่ของมัน ได้รับการปรับจูนใหม่ จนสามารถขยับแรงม้าสูงสุด จาก 550 PS เป็น 600 PS ซึ่งอาจจะสูงขึ้นกว่ารุ่น V8 เดิม แต่ยังแรงไม่พอที่จะทดแทนรุ่นเครื่องยนต์ W12 ที่หายไป
ดังนั้น มันจึงต้องทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 190 PS อีกหนึ่งตัว ผ่านการทำงานโดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 สปีดเป็นตัวเชื่อม ส่งผลให้พละกำลังสุทธิที่ได้ เมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกัน มีตัวเลขที่ 782 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าแรงกว่าขุมกำลัง W12 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ได้แล้วในที่สุด
และเนื่องจากตัวรถถูกระบุว่ามาพร้อมกับระบบขุมกำลังแบบ Plug-In Hybrid ดังนั้น มันจึงได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 25.9 kWh เข้าไป ซึ่งหากผู้ใช้อยากหนีออกจากบ้านไปแบบเงียบๆ ก็สามารถเปิดโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆแล้ววิ่งได้ไกลสุดราวๆ 40 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP แต่เวลาในการชาร์จไฟกลับอาจนานสักหน่อย ที่ 2 ชั่วโมง 45 นาที ด้วยแรงดันไฟในการชาร์จกระแสกลับแค่เพียง 11 kW เท่านั้น
โดยแม้น้ำหนักตัวรถจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 192 กิโลกรัม แต่ด้วยแรงบิดที่สูงขึ้นมาก ประกอบกับความไวในการตอบสนองต่อคันเร่งของมอเตออร์ไฟฟ้า จึงทำให้มันสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่ารุ่นพี่เครื่องยนต์ W12 อยู่ 0.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้เท่าเดิมที่ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่นหลังคาแข็ง และจะลดลงเหลือ 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น GTC ซึ่งเป็นรุ่นเปิดประทุน
อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวรถสามารถเรียกอัตราเร่งได้ดียิ่งขึ้น ก็คือการปรับปรุงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ All-Wheel-Drive ใหม่ ทั้งในส่วนของระบบคุมแรงบิด Torque Vectoring, ชุดเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปสำหรับชุดล้อคู่หลัง
ไม่เพียงเท่านั้น ตัวรถยังถูกเสริมสมรรถนะในการควบคุมด้วยระบบช่วงล่างไฟฟ้า ซึ่งประกอบไปด้วยเหล็กกันโคลงไฟฟ้า ที่สามารถปรับเปลี่ยนความแข็ง-อ่อน และการทำงานได้ตามสภาวะการใช้งาน, ระบบช่วงล่างถุงลมแบบ Two-Chamber (2 ช่องลม เพื่อรองรับการซับแรงจากผิวถนนได้อย่างครอบคลุม), ระบบโช้กไฟฟ้าที่สามารถแปรผันความหนืดได้ตามสภาพผิวถนนและโหมดการขับขี่
ปรับปรุงระบบควบคุมสเถียรภาพ, ระบบเลี้ยวสี่ล้อ, และยังมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังใหม่ ซึ่งช่วยทั้งในมุมของความนุ่มนวล และการคุวบคุมตัวรถที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับตัวรถโฉมก่อน
ขณะที่ระบบเบรกเอง ก็มีทางเลือกให้ลูกค้าได้ตัดสินใจ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่จานเบรกเหล็ก 2 ชั้น พร้อมครีบรีดอากาศ ซึ่งเป็นออพชันพื้นฐาน หรือ จานเบรกคาร์บอนที่ขนาดใหญ่กว่า แต่ต้องเสียเงินอัพเกรดเพิ่ม ส่วนคาลิปเปอร์เบรก ก็จะยังคงเป็นคาลิปเปอร์เบรก 10 พอท สำหรับจานเบรกคู่หน้า และ 4 พอท สำหรับจานเบรกคู่หลัง
ด้านงานออกแบบตัวรถเอง แม้จะบอกว่าตัวรถมีการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ แต่เส้นสายตัวรถโดยหลักแล้วจะยังคงอ้างอิงมาจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นกรอบหลังคา หรือเส้นสายบริเวณแก้มข้างของซุ้มล้อทั้งคู่หน้าและคู่หลัง แม้แต่ช่องกระจังหน้า กับช่องดักลม และกรอบไฟตัดหมอกที่กันชนหน้ายังคล้ายเดิม
แต่ในที่สุด ชุดโคมไฟคู่หน้าของ Continental GT ก็ได้ถูกเปลี่ยนจากโคมไฟ 4 ดวง เป็นโคม 2 ดวง แต่มีแถบไฟ DRL ขีดคาดเหมือนการกรีดอายไลน์เนอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี โดยที่ตัวดวงไฟด้านในก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบ Matrix LED
ข้างตัวถังแม้เส้นซุ้มล้อ และงานออกแบบหลักจะคล้ายเดิม แต่ก็ไม่ปรากฏช่องระบายอากาศจากซุ้มล้อคู่หน้าทางด้านล่างอีกต่อไป ขณะที่ด้านท้ายรถก็มีการปรับโคมไฟคู่ท้ายใหม่ ให้ดูเรียวยาวเข้าไปด้านในของฝาท้ายมากขึ้น และตัวกันชนท้ายก็มีการปรับรายละเอียดใหม่ทั้งชิ้น โดยเฉพาะกับกรอบแบ่งชั้นพื้นที่สำหรับติดป้ายทะเบียน และกรอบปากท่อไอเสียเองก็ดูใหญ่โตขึ้นเช่นกัน
ภายในห้องโดยสารเอง ก็ยังคงใช้เส้นนสายงานออกแบบหลักที่ยึดโยงมาจากรุ่นพี่เจเนอเรชันที่ 3 เช่นกัน ซึ่งทำให้ใครหลายคนยิ่งมองว่าตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 เหมือนเป็นโฉม Facelift มากกว่า แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจได้ว่าของเดิมอาจจะดูหรูอยู่แล้ว และถูกใจลูกค้ามากพอแล้วก็ได้
ทว่าเพื่อความทันสมัย มันนจึงมาพร้อมกับชุดจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถอัพเดทซอฟท์แวร์ผ่านระบบ OTA และยังสามารถพลิกกลับเพื่อปรับเป็นชุดจอมาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์, แรงดันบูสท์, และเวลาแบบอนาล็อคได้อีก
ด้านเบาะนั่งก็มีการปรับเปลี่ยนลวดลายการตัดเย็บใหม่ แต่ยังคงฟังก์ชันในการปรับตำแหน่งเบาะกว่า 20 ทิศทางเอาไว้เช่นเดิม, ชุดลำโพงก็ยังคงเล่นใหญ่ด้วยลำโพง 18 ตำแหน่ง กำลังขับสูงสุดรวมกันได้ 2,200 วัตต์ ซึ่งหากรูปแบบการตกแต่งที่เห็นอยู่ยังถูกใจลูกค้าไม่พอ ลูกค้าก็สามารถเลือกเปลี่ยนวัสดุการตัดเย็บและการตกแต่งได้ตามใจชอบเท่าที่คุณจะจ่ายไหว
โดยกำหนดการส่งมอบตัวรถ 2025 Bentley Continental GT และ Bentley Continental GTC จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะประเดิมเกิดขึ้นในทวีปยุโรปก่อน ตามด้วยสหรัฐอเมริกา ส่วนภูมิภาคเอเชียจะเกิดขึ้นหลังสุด