Home » Nissan Serena e-POWER ขายแล้วที่ อินโด เผย ราคา 1.4 ล้านบาท
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

Nissan Serena e-POWER ขายแล้วที่ อินโด เผย ราคา 1.4 ล้านบาท

หลังการเปิดรับจองไปเพียงไม่นาน ล่าสุด Nissan Serena e-POWER ก็ถูกเปิดตัวขายจริงในอินโดนีเซีย แล้วด้วยราคาราว 1.4 ล้านบาท

Nissan Serena e-POWER เวอร์ชันที่ขายในประเทศอินโดนีเซีย แท้จริงแล้วเป็นรถที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน โดยจะมีเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ นั่นคือรุ่น Highway Star (4×2) A/T

โดยตัวรถรุ่นนี้ จะมาพร้อมกับขุมกำลัง e-POWER ที่เป็นการประสานการทำงานกันระหว่างเครื่องยนต์ HR14 เบนซิน 3 สูบเรียง ขนาด 1,433cc ที่มีหน้าที่ปั่นไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ขนาด 1.769 kWh สำหรับขับเคลื่อนตัวรถด้วยชุดล้อคู่หน้า ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า PS ที่ 5,600 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที

นอกนั้นในส่วนมิติตัวรถ ก็มีตัวเลข 4,765 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,715 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, 1,885 มิลลิเมตร ในด้านสูง, และมีระยะฐานล้อยาว 2,870 มิลลิเมตร กับความกว้างฐานล้อ 1,475 มิลลิเมตร และ 1,485 มิลลิเมตร ตามลำดับหน้า-หลัง, ความสูงใต้ท้องรถ 150 มิลลิเมตร, รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร, ความจุถังน้ำมันอีก 52 ลิตร, และชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 205/65 R16

ฝั่งงานออกแบบตัวรถเอง ก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรุ่นที่ขายในญี่ปุ่น เพราะอย่างที่เราได้ระบุไว้ข้างต้นว่ามันคือรถที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน ดังนั้นมันจึงยังคงมาพร้อมกับ ชุดกระจังหน้าทรง V-Motion แบบใหม่ล่าสุด ซึ่งจะถูกขีดเส้นไว้เป็นแนวเดียวกับกรอบโคมไฟคู่หน้าด้านบน พร้อมแถบไฟ DRL

งานออกแบบข้างตัวถัง ยังเน้นทรงกล่อง แต่ก็แลกมาซึ่งทัศนวิสัยที่กว้างขวาง แถมยังมีการทำกระจกหูช้างขนาดใหญ่เอาไว้ที่แนวเสา A และไม่ลืมที่จะทำเส้นสันไหล่ให้กับตัวถังอีกเล็กน้อย เช่นเดียวกับชายล่างตัวถังรอบคัน ที่มีการออกแบบให้เชิดบานออกจากแนวตัวถังนิดหน่อยเพื่อความโฉบเฉี่ยว

ส่วนด้านท้าย ยังคงมีเอกลักษณ์จากกระจกบานท้ายขนาดใหญ่ ไฟท้าย LED แนวตั้งพร้อมแถบโครเมียมคาดกลาง และกรอบสปอยเลอร์ปิดมุมด้านบน ก่อนที่จะปิดท้ายสีตัวถังทั้งหมดด้วยสีแบบทูโทน

ภายในห้องโดยสารยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งกระจกหน้าอาคูสติกกลาสลดเสียง, ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาดใหญ่ ที่ทำงานร่วมกับจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ ที่แม้ทาง Nissan จะไม่ได้ระบบตัวเลขขนาดที่แน่ชัดเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยืนยันว่ามันมีขนาดใหญ่ที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน

และเนื่องจากมันเป็นรถครอบครัว ดังนั้นมันจึงมาพร้อมกับเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero gravity Seat ที่เน้นในเรื่องของความนุ่มสบาย เช่นเดียวกับเบาะนั่งแถวสองแบบ Captain Seat ส่วนเบาะแถวหลังสุดก็เป็นเบาะที่สามารถพับราบได้

ลูกเล่นต่างๆของตัวรถยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะมันยังมาพร้อมกับประตูข้างแบบบานสไลด์ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาที่สามารถเปิด-ปิดได้เอง ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกตัวรถของผู้โดยสารตอนหลัง และยังมีที่เก็บโทรศัพท์พร้อมพอร์ทชาร์จไฟแบบ USB, ที่วางแก้วน้ำ 17 จุด, และระบบปรับอากาศ 3 โซน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ProPILOT ที่ให้มาในตัวรถ Serena e-POWER ที่วางจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียรุ่นนี้ กลับยังคงเป็นเวอร์ชัน 1.0 ไม่ใช่เวอร์ชัน 2.0 เหมือนที่ขายในประเทศญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีลูกเล่นมาให้ค่อนข้างครบครัน ทั้ง

  • Intelligent Cruise Control
  • Intelligent Forward Collision Warning
  • Intelligent Emergency Braking
  • Lane Keeping Assist
  • Lane Departure Warning
  • Lane Departure Prevention
  • Intelligent Blind Spot Intervention
  • Blind Spot Warning
  • Rear Cross Traffic Alert
  • Intelligent Driver Attention Alert
  • High Beam Assist

และยังมีระบบอำนวยความสะดวกรวมถึงความปลอดภัยอีกหลายรายการ ได้แก่

  • ระบบถุงลมนิรภัย 6 จุด
  • Anti- lock Braking System (ABS), Electronic Brake Force Distribution (EBD), Brake Assist (BA)
  • Vehicle Dynamic Control
  • Hill Start Assist
  • Rear Parking Sensor
  • กุญแจ Immobilizer
  • ระบบล็อครถอัตโนมัติเมื่อเดินออกจากรถ หรือ ปลดล็อครถอัตโนมัติ เมื่อมีการเดินเข้าหาตัวรถ
  • ระบบล็อคความเร็ว Speed Sensing Lock
  • ระบบ Nissan Connect

โดย Nissan Serena e-POWER ที่ส่งไปวางจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซีย มีการตั้งราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นที่ 635,000,000 รูเปียห์ หรือราวๆ 1,411,000 บาท และมีเฉดสีให้ลูกค้าชาวอินโดนีเซียได้เลือกทั้งหมด 12 แบบด้วยกัน

ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทยเอง ก็คาดว่าจะตามมาในเร็วๆนี้ เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากตัวรถซึ่งถูกส่งไปวางจำหน่ายในอินโดนีเซียคือ มันอาจเป็นตัวรถที่ถูกขึ้นไลน์ผลิตในบ้านเราเองตั้งแต่แรก ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาของมันดูขับต้องได้ง่ายมากน้อยแค่ไหน ยังต้องรอติดตามดูกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.