Home » Honda Civic 2025 เผยโฉมไทย ออพชันใหม่ หน้าใหม่กลิ่นอาย “Type R” ราคาเริ่ม 1.239 ล้านบาท
รถใหม่ รถใหม่ในประเทศ

Honda Civic 2025 เผยโฉมไทย ออพชันใหม่ หน้าใหม่กลิ่นอาย “Type R” ราคาเริ่ม 1.239 ล้านบาท

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้สำหรับ Honda Civic โฉมใหม่ปี 2025 พร้อมราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเริ่มต้นที่ 1.239 ล้านบาท

Honda Civic 2025 ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Soukai Civic Evo Design” ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง สะท้อนถึงความเพลิดเพลินในการขับขี่ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร การใช้งานที่ตอบโจทย์ตามแบบชีวิตที่หลากหลาย และต้องคำนึงถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง

ดีไซน์ภายนอกของตัวรถได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Soukai Exterior EVO” ที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตซีดานอย่างชัดเจน ด้วยการออกแบบอย่างประณีตในทุกรายละเอียด เพื่อยกระดับความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ซึ่งจะมีรายละเอียดยิบย่อยต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย ดังนี้

รุ่น EL+ ให้ลุคสไตล์ Authentic Sportมาพร้อมกับ

  • ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว
  • ใหม่! ไฟท้าย LED รมดำ เสริมความมีเอกลักษณ์ในตัว
  • ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน
  • กรอบตกแต่งไฟหน้าสีดำ
  • เสาอากาศแบบครีบฉลาม
  • มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ
  • ท่อไอเสียแบบคู่
  • ล้ออัลลอยขนาดใหม่ 17 นิ้ว

รุ่น e:HEV EL+ ส่งมอบประสบการณ์ Advanced Sportมาพร้อมกับ

  • ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว
  • ใหม่! ไฟท้าย LED รมดำ เสริมความมีเอกลักษณ์ในตัว
  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • กรอบตกแต่งไฟหน้าสีเดียวกับตัวรถ
  • โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็น
    ยนตรกรรมไฮบริดได้อย่างชัดเจน
  • มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถตกแต่งด้วยโครเมียม
  • เสาอากาศแบบครีบฉลาม
  • ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

พิเศษยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน ในรุ่น e:HEV RS

  • ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว พร้อมสัญลักษณ์ RS
  • ใหม่! ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว Matte Black ดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ต
  • กระจกมองข้างสีดำ
  • มือจับประตูด้านนอกสีดำตกแต่งด้วยโครเมียม
  • เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ
  • สปอยเลอร์หลังสีดำพร้อมสัญลักษณ์ RS ด้านท้าย
  • ท่อไอเสีย พร้อมปลอกท่อไอเสีย

ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมการออกแบบเน้นที่การสร้างความรู้สึกที่สดใหม่ ส่งมอบความสปอร์ตที่สบายตา สะดวกสบายเมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร พร้อมออกเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ การจัดวางอุปกรณ์ฟังก์ชันการใช้งาน
ต่าง ๆ จะเน้นความเรียบง่ายให้ตอบโจทย์และใช้งานได้อย่างคล่องตัว เน้นอรรถประโยชน์และเส้นสาย
ที่สวยงาม ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยมในทุกผิวสัมผัส

  • วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำ (รุ่น EL+ และ e:HEV EL+)
  • ใหม่! เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระ
  • ใหม่! แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดพร้อมไฟส่องสว่างด้านคนขับและ ผู้โดยสารด้านหน้า
  • กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางทุกรุ่นย่อย และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า
    4 ทิศทาง
    (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง
  • ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย

ยกระดับความสปอร์ตภายในห้องโดยสาร รุ่น e:HEV RS

  • แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต
  • เบาะที่นั่งลายใหม่ Prime smooth ด้วยวัสดุเบาะหนังกลับและหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง อีกทั้งตกแต่งแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านข้างสีแดงสไตล์สปอร์ไฟส่องสว่างตกแต่งแผงประตูคู่หน้าและที่เท้า

ไม่เพียงเท่านั้น Civic 2025 ยังมีระบบ Google built-in แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัว โดยติดตั้งครั้งแรกในตัวรถรุ่นนี้ อย่าง Google Assistant, Google Maps และแอปอื่น ๆ อีกมากมาย
จาก Google Play ในรถยนต์ของคุณ เพื่อประสบการณ์การขับขี่แบบมีผู้ช่วยที่ราบรื่นและปรับเปลี่ยนได้ในแบบของคุณ ประกอบด้วย

  • Google Assistant เมื่อมี Google Assistant คุณก็ทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนหรือละมือจากพวงมาลัย โทรหรือส่งข้อความหาเพื่อน ตั้งการช่วยเตือน หรือแม้แต่เปลี่ยนอุณหภูมิในรถได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ยังนำทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป หรือสำรวจละแวกใกล้เคียงได้ จะข้ามไปที่เพลงถัดไปหรือย้อนฟังพอดแคสต์ก็สบายด้วยแอปสื่อที่คุณชื่นชอบ เพียงแค่พูดว่า “Ok Google” หรือกดปุ่มเสียงบนพวงมาลัยเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
  • Google Maps ช่วยให้คุณเดินทางสู่จุดหมายต่อไปได้เร็วขึ้นด้วยข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ การเปลี่ยนเส้นทางอัตโนมัติ และคำแนะนำช่องทาง ขณะที่ฟังเพลงโปรดไปด้วยได้
    ให้ Google Assistant ช่วยนำทางคุณกลับบ้าน ค้นหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด หรือบอกเวลาทำการของร้านค้า เพื่อให้คุณโฟกัสกับการขับขี่โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนหรือปล่อยมือจากพวงมาลัย เพียงพูดว่า “Ok Google” หรือกดปุ่มเรียกใช้งานบนพวงมาลัยเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
  • Google Play ช่วยให้คุณดาวน์โหลดแอปโปรดไว้ในรถได้ง่าย ๆ เหมือนเวลาดาวน์โหลดในโทรศัพท์ จะฟังเพลงโปรด พอดแคสต์ หนังสือเสียง และอื่น ๆ ก็ทำจากรถโดยตรงได้สบาย ๆ
    หากต้องการดาวน์โหลดแอปสื่อ ให้ตรวจสอบว่ารถจอดอยู่กับที่ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ และลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google แล้วเริ่มต้นใช้งานด้วยแอปที่เราชื่นชอบ เช่น YouTube Music – สร้างสุดยอดเพลย์ลิสต์สำหรับฟังระหว่างขับรถ และ Spotify – เข้าถึงเพลงนับล้านสำหรับทุกอารมณ์

นอกจากนี้ตัวรถยังมีออพชันอื่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ได้แก่

  • ใหม่! ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น EL+ และ e:HEV EL+)
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
  • ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
  • ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)
  • ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) พร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
  • ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา (รุ่น e:HEV RS)
  • พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน
  • ช่องเชื่อมต่อ USB Type C จำนวน 4 ช่อง ช่องหน้า 2 ช่องและด้านหลัง 2 ช่อง
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)

และยกระดับชีวิตให้สมาร์ตขึ้นไปอีกขั้นกับ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) ในทุกรุ่น เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ได้แก่

  • My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
  • Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และเอกซ์ เป็นต้น
  • Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง
    *ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  • Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ
    เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
  • Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
  • Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และการสั่ง
    ดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย และแตร
    โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัว
    ทุกครั้งก่อนการใช้งาน
  • Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่
    ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
  • Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

ด้านขุมกำลังของตัวรถ ยังมีตัวเลือกให้ลูกค้าได้ตัดสินใจ 2 แบบดังเดิม ได้แก่

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV

อันเป็นการผสานการทำงานของ เครื่องยนต์ ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ที่สามารถให้กำลังสูงสุดได้ 141 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที

เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) ซึ่งมอบกำลังมอเตอร์สูงสุดได้ถึง 184 แรงม้า PS ที่ 5,000 – 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที

ซึ่งหากทั้ง 2 ขุมกำลังผสานกำลังรวมกันอย่างเต็มที่ มันก็จะสามารถให้แรงม้ารวมได้สูงสุดที่ 204 PS ก่อนส่งกำลังทั้งหมดไปยังเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) โดยมีชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด คอยจัดการ การใช้พลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 96 กรัม/กิโลเมตร มอบความแรงเกินคาด ประหยัดเกินใคร ให้คุณใช้ชีวิตได้อิสระ พาคุณไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง

โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด โดยระบบจะเลือกโหมดการขับขี่ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับ
ของแบตเตอรี่ สภาพถนน และพฤติกรรมในการขับขี่ ประกอบด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่

  • โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง ช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง
  • โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
  • โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์อัตโนมัติ
    E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่

และมาพร้อมกับสวิตซ์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามสไตล์ 4 โหมด ได้แก่

  • ใหม่! Individual Mode โหมดการขับขี่แบบ Individual (ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS) ที่สามารถปรับตั้งค่าการขับขี่เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการในแต่ละไลฟ์สไตล์ โดยสามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย และเสียงเครื่องยนต์ และพิเศษสำหรับรุ่น e:HEV RS สามารถเลือกรูปแบบสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ
  • ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
  • Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
  • Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่การทำงานของเครื่องยนต์ตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้นเพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)
(รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS) ที่เหมาะกับการใช้งานบนถนนในทุกสภาวะการขับขี่ ให้ทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ควบคู่ไปกับความปลอดภัย

ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO 4 สูบ 16 วาล์ว

ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,700 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT ขับสนุก แรงทุกอัตราเร่ง เร้าใจเต็มอารมณ์สปอร์ต และให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ 17.2 กิโลเมตร/ลิตร อีกทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 พร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ตามสไตล์ 2 โหมด ได้แก่

  • ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
  • Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป

โดย Honda Civic รุ่นใหม่ล่าสุด ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชัน
การทำงานหลัก ๆ ดังนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)  

    ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูล ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ เมื่อเปรียบเทียบกับระบบปัจจุบัน ได้มีการเพิ่มการตรวจจับจักรยานยนต์และจักรยานที่สวนมาเมื่อเลี้ยวขวาที่ทางแยกและเพิ่มการตรวจจับรถยนต์ที่เคลื่อนผ่านด้านหน้า
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า
    ที่ความเร็วต่ำ
    (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

    ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง

    เมื่อเปรียบเทียบกับระบบปัจจุบันได้ปรับปรุงการควบคุมการเร่งความเร็วหรือการลดความเร็ว ระหว่างการขึ้นเขาและทางลงเพื่อความนุ่มนวลยิ่งขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพในช่วงการเบรกหรือการเร่งความเร็วตอนออกตัวให้รู้สึกถึงการขับขี่อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)

    ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

    กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่  เมื่อเปรียบเทียบกับระบบปัจจุบัน ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการรักษาช่องทางเดินรถให้ดียิ่งขึ้น
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

    ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

    ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า

นอกจากนี้ ยังครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ และเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยที่ครบครัน อาทิ

  • ใหม่! เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV EL+ และ
    e:HEV RS)
    ที่ช่วยลดจุดบอดในการมองเห็นของกระจกมองข้างด้านซ้าย โดยใช้กล้องจับภาพและแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 9 นิ้ว เพื่อการมองเห็นที่ไร้มุมอับ ให้ความปลอดภัยในทุกการขับขี่
  • ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor)
    ระบบจะตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ผ่านการควบคุมพวงมาลัย เมื่อพบว่าประสิทธิภาพในการควบคุมรถของผู้ขับขี่ลดน้อยลง ระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ TFT และเมื่อตรวจพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้า ระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ TFT พร้อมมีเสียงเตือนและจะทำการสั่นเตือนที่พวงมาลัย
  • กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
    ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย โดยสามารถเลือกดูมุมกล้องที่แตกต่างกันได้ทั้งแบบ 130 องศา กับ 180 องศา และมุมมองจากด้านบน
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
    ระบบป้องกันล้อล็อก ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถและหักพวงมาลัยหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้า ขณะที่ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) จะช่วยกระจายแรงเบรกระหว่างล้อหน้าและล้อหลังเพื่อให้ความสมดุลกับน้ำหนักในการบรรทุกและเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)
    เป็นระบบที่ทำงานโดยอัตโนมัติ โดยสัญญาณไฟฉุกเฉินจะทำงานเมื่อมีการเหยียบเบรกกะทันหัน เป็นการแจ้งเตือนรถที่ตามมาข้างหลัง
  • ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
    ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ช่วยการยึดเกาะถนน มั่นใจกับทุกการขับขี่
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) 
    ระบบจะทำหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้ตัวรถเคลื่อนที่ไปทางด้านหลัง ในจังหวะที่มีการปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรกเมื่อรถยนต์จอดอยู่บนทางลาดชัน
  • ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front Passenger and Rear Seat Belt Reminder) (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
  • ระบบ Auto Brake Hold
  • ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
  • ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
  • มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว (รุ่น e:HEV RS) และ
    มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว (รุ่น EL+และ e:HEV EL+)
  • ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้า (Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
  • เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS) (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)
  • ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
  • จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
  • อุปกรณ์อุดการรั่วซึมของยางชั่วคราว (TPRK) (รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS)

โดย Honda Civic 2025 มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น EL+ และ e:HEV EL+)  สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)  สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)  สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)  สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวแพลทินัม (มุก)  พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ขณะที่ราคาคาดการณ์สำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ก็แบ่งออกตาม 3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • รุ่น e:HEV RS    ราคาประมาณการ 1,239,000 บาท
  • รุ่น e:HEV EL+   ราคาประมาณการ 1,099,000 บาท
  • รุ่น EL+            ราคาประมาณการ 1,039,000 บาท
แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.