แม้จะพึ่งขายในไทยได้เพียงไม่นาน แต่ล่าสุด BYD Seal ซีดานไฟฟ้าที่วางจำหน่ายในตลาดโลกมาแล้วสักพักก็ได้เวลาที่จะต้องปรับโฉม และสเป็คใหม่เพื่อให้มันสามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้นในปี 2025
2025 BYD Seal หากมองจากภายนอกอาจแทบไม่มีความแตกต่างจากตัวรถรุ่นปี 2023-2024 ที่ชาวไทยคุ้นตากันมาสักพักเท่าไหร่นัก เพราะมันยังมาพร้อมกับดีไซนเส้นสายที่เหมือนเดิมแทบทุกจุด เว้นเพียงชุดล้อแบบใหม่ที่ถูกปรับให้ดูดุดันแต่เป็นลวดลายคล้ายกับรถยนต์สันดาปฯมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มส่วนโหนกนูนเหนือหลังคาขึ้นมา ซึ่งหลายคนคงพอเดากันได้ว่ามันคือตำแหน่งของ LiDar Sesor ที่ถูกเพิ่มเข้ามา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์เส้นทางข้างหน้าตัวรถ ของระบบความปลอดภัยและระบบอำนวยความสะดวกผู้ขับให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น เช่น ระบบช่วยเบรกเมื่อมีความเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า และระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน, ระบบรักษาการอยู่ในเลน, ระบบป้องกันการออกนอกเลน, แม้แต่ระบบช่วยจอดเองก็เช่นกัน
ขณะที่งานออกแบบภายในห้องโดยสารได้ถูกปรับรายละเอียดงานออกแบบใหม่แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งที่อาจจะยังมีรูปทรงคล้ายเดิม แต่ก็มีการปรับลวดลายหนังแนปป้าหุ้มเบาะใหม่ ให้ดูสะอาดตา กระชับกับผู้นั่งยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับแผงข้างประตูที่ถูกปรับใหม่ ให้ดูเรียบง่ายกว่าเดิม
ในส่วนของคอนโซลหน้า หากไม่นับหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 15.6 นิ้ว ที่ยังคงมีมาให้ดังเดิม งานออกแบบคออนโซลหน้าที่ว่านี้ก็ยังถูกปรับใหม่ทั้งแผง โดยคราวนี้จะมาพร้อมกับแผงคอนโซลแบบหน้าตัดเรียบตลอดฝั่งซ้ายจรดขวา แต่มีการเพิ่มลวดลายกราฟฟิกฝั่งผู้โดยสาร ส่วนจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 10.25 นิ้ว ก็ถูกออกแบบให้ฝั่งอยู่ภายในแผงคอนโซลเป็นชิ้นเดียว เช่นเดียวกับปากช่องแอร์ที่จะถูกทำให้เป็นช่องนอน เนียนไปกับขอบแผงคอนโซลตรงกลางเพื่อความสะอาดตา
และท้ายสุด คือการเปลี่ยนงานออกแบบพวงมาลัยใหม่ จากลักษณะ 3 ก้าน เป็น 4 ก้าน (ที่ดูไปดูมา แอบคล้ายงานออกแบบพวงมาลัยของรถยนต์แบรนด์เกาหลี) และปรับขอบพวงมาลัยด้านล่างให้เป็นแบบ D-Shape ซึ่งทำให้มันดูทันสมัย และหล่อเหลากว่าเดิม
ด้านการปรับปรุงทางเทคนิค หากอิงตามข้อมูลของตัวรถที่ถูกเผยออกมาว่าเป็นสเป็คสำหรับวางจำหน่ายในประเทศจีนก็จะพบว่าโดยหลังแล้วมันยังคงมาพร้อมกับทางเลือกขุมกำลัง 3 ระดับ ดังเดิม ได้แก่ รุ่นมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง 231 แรงม้า PS, รุ่นมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง 312 แรงม้า PS, และ รุ่นมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 530 แรงม้า PS
แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือแบตเตอรี่แบบใหม่ ซึ่งในฝั่งลูกเล็กจะยังคงมีขนาดใกล้เคียงกับของเดิม อยู่ที่ 61.44 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดเท่าเดิม ที่ 510 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน CLTC
และในฝั่งรุ่น Long Range / Performance ซึ่งได้แบตฯลูกใหญ่ ก็จะเป็นแบตฯที่มีขนาดเล็กลงหน่อย เหลือ 80.64 kWh (เดิม 82.56 kWh) แต่ยังคงเคลมระยะทางในการใช้งานสูงสุดต่อชาร์จเท่าเดิม คือ 650 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน CLTC กับ 580 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน CLTC
โดยความแตกต่างที่แท้จริงของแบตเตอรี่ใหม่ที่ว่านี้ ก็คือการที่มันถูกออกแบบ และปรับมาตรฐานแบตเตอรี่ใหม่ จากสถาปัตยกรรม 400 Volt เป็น 800 Volt ซึ่งแม้ทางค่ายจะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขขีดความสามารถในการรองรับกำลังไฟสำหรับชาร์กระแสไฟกลับออกมา แต่พวกเขาก็ระบุว่ามันจะสามารถร่นเวลาในการชาร์จไฟด้วยระบบไฟ DC หรือในโหมด Fast Charge ที่รวดเร็วกว่าเดิม จากที่เคยเคลม 37 นาที เหลือ 25 นาที
และเพื่อการควบคุมตัวรที่ดีขึ้น ทางค่ายก็ยังมีการปรับปรุงระบบกันสะเทือนใหม่ โดยการเพิ่มระบบกลไกช่วงล่าง Disus-C เข้ามา ซึ่งมันจะมาพร้อมกับฟังก์ชันในการแปรผันความหนืดในการยืดยุบตามความเร็วและสภาพพื้นผิวของถนน เพื่อเพิ่มสเถียรภาพ, ความนุ่มนวล, และความสามารถในการควบคุมของตัวรถทั้งบนทางตรง และทางโค้ง ให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับการวางจำหน่าย 2025 BYD Seal รุ่นปรับสเป็คใหม่ในไทย ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใหม่ใดๆทั้งสิ้น แต่ไม่แน่ว่าภายในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้ เราอาจจะได้เห็นมันถูกนำมาโชว์ตัวในบ้านเราก็เป็นได้