หลังการโผล่ร่างทดสอบมานานนับปี ในที่สุด Lamborghini Temerario น้องใหม่ของ Lamborghini Revuelto และตัวตายตัวแทนของรถซุปเปอร์คาร์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาลจากแบรนด์กระทิงดุอย่าง Huracan ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการสักที
Lamborghini Temerario มาพร้อมกับจุดเปลี่ยนที่แตกต่างจากรุ่นพี่ Huracan ของมันอย่างชัดเจนในหลายๆจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของขุมกำลัง ซึ่งแม้เบื้องต้นจะถูกระบุว่าเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ถูกนำมาแทนขุมกำลัง V10 NA ขนาด 5.2 ลิตร แต่มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องยนต์ลูกเดียวกันกับที่เคยอยู่ใน Lamborghini Urus เหมือนที่เราคุ้นชิน
เพราะด้วยบทเรียนจากคู่แข่งอย่าง Ferrari ที่จับเครื่องยนต์เทอร์โบลงในใรถซุปเปอร์คาร์แล้วโดนลูกค้าบ่นอุบเรื่องเครื่องยนต์ F154 แบบ V8 เทอร์โบคู่ ที่แม้จะแรงขึ้น กว่าเครื่องยนต์ F136 แบบ V8 NA อยู่พอสมควร แต่ก็มีรอบเครื่องยนต์สูงสุดหายไปกว่า 1,000 รอบ/นาที ซึ่งไม่ถูกจริตลูกค้าที่ชื่นชอบความก้องกังวาลของเสียงเครื่องยนต์ในรอบปลายส่วนใหญ่เท่าไหร่นัก
ทำให้ Lamborghini เลือกพัฒนาเครื่องยนต์ V8 ลูกใหม่ รหัส L411 โดยไม่ได้ใช้ขนาดลูกสูบ 86 x ช่วงชัก 86 มิลลิเมตร เหมือนเครื่องยนต์ของ Urus แต่ใช้ขนาดลูกสูบ 90 x ช่วงชัก 78.5 มิลลิเมตร แทน ซึ่งด้วยลักษณะเครื่องยนต์แบบ ลูกโต-ชักสั้น เช่นนี้ จึงทำให้แม้มันจะมีเทอร์โบถึง 2 ตัว แต่ก็สามารถลากรอบสูงสุดได้กว่า 10,000 รอบ/นาที แบบสบายๆ
และเพื่อให้เครื่องยนต์ลูกใหม่นี้สามารถใช้งานได้อย่างทนทาน รวมถึงสามารถเค้นรอบสูงสุดได้สบายใจผู้ขับจริงๆ มันจึงถูกอัดแน่นไปด้วยชิ้นส่วนคุณภาพสูงมากมาย เช่น แครงก์เครื่องยนต์ผลิตจากอลูมิเนียมเกรดตัวแข่ง, ก้านสูบไทเทเนียม, และกระเดืองวาล์วเคลือบสาร DLC ซึ่งทำให้แท้จริงแล้วเครื่องยนต์ลูกนี้จะสามารถปั่นรอบแตะหลัก 11,000 รอบ/นาที ได้อย่างปลอดภัยด้วยซ้ำ (แต่ Lamborghini จำกัดรอบเครื่องยนต์สูงสุดในรถตัวขายจริงไว้ที่ 10,000 รอบ/นาที)
จากการออกแบบข้างต้น จึงทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถเค้นแรงม้าได้กว่า 800 PS ระหว่าง 9,000 – 9,750 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุดอีก 730 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าก้าวกระโดดขึ้นมาจากเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตรของรุ่นพี่ที่ทำกำลังสูงสุดได้ 640 PS ที่ 8,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร อย่างเห็นได้ชัด
แต่เพื่อแก้ปัญหาแรงบิดในรอบต่ำที่อาจจะหดหายไปพอสมควร จากความเป็นเครื่องยนต์แนวลากรอบ ทาง Lamborghini จึงต้องทำการใส่มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตัวรถ Temerario ด้วย
โดยจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าตัวละ 150 แรงม้า PS แบ่งเป็น 2 ตัว สำหรับขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า ซึ่งทำให้รถเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในการใช้งานด้วยโหมดปกติ หรือเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า สำหรับการขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน กับกำลังสูงสุดรวม 190 PS ก็ได้ ในโหมดการขับขี่แบบ “Citta” ด้วยระยะทางไกลสุด 11-16 กิโลเมตร จากแบตเตอรี่ขนาดเพียง 3.8 kWh
หากไม่พอ ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 1 ตัว ที่จะคอยซัพพอร์ทเครื่องยนต์ ทั้งในฐานะตัวสตาร์ทเครื่องยนต์ และตัวชาร์จไฟกลับสู่ระบบ ด้วยแรงบิด 300 นิวตันเมตร ช่วยกันขับเคลื่อนล้อคู่หลังเพื่อลดการรอรอบผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลูกใหม่
ผลลัพท์ที่ได้ คือขุมกำลังทั้งหมดที่มี จะสามารถเรียกกำลังสูงสุดได้ 920 PS ซึ่งถือว่าสูงกว่ารุ่นพี่ราว 45% และยังสูงกว่าคู่แข่งอย่าง Ferrari 296 GTB ที่มีเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 830 PS, McLaren Artura ที่ใช้เครื่องยนต์กำลังสูงสุด 680 PS และ McLaren 750S ที่ใช้เครื่องยนต์กำลังสูงสุด 750 PS ตามชื่ออย่างชัดเจน
นั่นจึงส่งผลให้คราวนี้ ตัวรถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 2.7 วินาที จาก 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากขึ้น จาก 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 343 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี ด้วยการเพิ่มชิ้นส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่สำหรับระบบไฮบริดเข้ามา แม้ว่าน้ำหนักของชุดระบบขับเคลื่อนล้อหน้าจะหนักเพียง 73 กิโลกรัม แต่ภาพรวมทั้งหมด ก็ทำให้น้ำหนักตัวรถสุทธิของมัน มีตัวเลขที่มากถึง 1,690 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเยอะกว่ารุ่นพี่ (Huracan LP640 EVO) อยู่ 268 กิโลกรัม อยู่ดี และทำให้ระยะเบรกของตัวรถ จากความเร็ว 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 31.9 เมตร เป็น 32 เมตร พอดี
ในด้านงานออกแบบตัวรถ จะเห็นได้ว่าคราวนี้ทาง Lamborghini เลือกลดความดุดันจ๋าๆในแบบ Huracan แต่มีการใส่รายละเอียดเส้นสายแบบ Countach (2021) เข้าไปแทน นั่นจึงทำให้ภาพลักษณ์ของตัวรุ่นนี้ กลับดูมีความเกรี้ยวกราดน้อยกว่าพี่ใหญ่อย่าง Revuelto
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงดูพอมีเขี้ยวเล็บอยู่บ้างจากกันชนหน้าที่ใช้งานออกแบบเดียวกับพี่ใหญ่ แต่ใส่ชุดกรอบไฟ DRL แบบ 6 เหลี่ยมคล้าย Essenza SCV12 โดยที่ไฟหน้ากลายเป็นแถบเล็กบางกว่าเดิม ที่แนวฝากระโปรงซ้าย-ขวา ขณะที่เส้นสายด้านข้างยังคงเน้นความเป็นรถทรงลิ่ม (หน้าเตี้ย-ท้ายสูง) เช่นเดิม แต่คราวนี้ด้านท้ายรถกลับดูดุดันยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งปลายท่อไอเสียไว้ในระนาบไฟท้าย คล้าย Revuelto และไม่ลืมที่จะทำจงอยตูดเป็นสำหรับทำหน้าที่เป็นสปอยเลอร์เสริมแรงกดไว้ด้านบน
ในส่วนความสะดวกสบาย และงานตกแต่งภายในห้องโดยสาร ต้องเริ่มย้อนกลับไปถึงเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างตัวรถใหม่เล็กน้อย เพราะแม้มันจะยังคงใช้โครงสร้างอลูมิเนียมถักเช่นเดียวกับ Huracan แต่มันก็มาพร้อมกับสัดส่วนตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ด้วยระยะฐานล้อ 2,658 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่ายาวกว่าเดิม 38 มิลลิเมตร ทำให้ผู้โดยสารมีพื้นที่วางขามากขึ้น และทาง Lamborghini ยังทำการปรับปรุงพื้นที่เหนือศรีษะใต้หลังคา เพื่อให้ผู้ขับสามารถใส่หมวกกันน็อคขับรถลงสนามได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
นอกนั้นในส่วนงานออกแบบภายใน เรียกได้ว่ายกแรงบันดาลใจมาจาก Revuelto แทบทั้งชุด โดยเฉพาะชุดคอนโซลหน้า ที่มาพร้อมกับจอแสดงผล 3 ตัว ททั้งบริเวณด้านหน้าคนขับ ด้านหน้าผู้โดยสาร และที่กลางคอนโซล โดยที่กรอบช่องแอร์ด้านบน จะดูเหมือนกับดวงตาปีศาจ หรือมนุษย์ต่างดาว เมื่อมองจากด้านท้ายรถ ทะลุกระจกหลังห้องโดยสารเข้ามา
ตามด้วยพวงมาลัย 4 ก้านแบบใหม่ ซึ่งดูทันสมัยกว่าเดิม ด้วยปุ่มแตรที่เล็กลง และมีลูกเล่นปุ่มปรับฟังก์ชันต่างๆบนก้านพวงมาลัยซ้าย-ขวา ที่ครบครันยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับปุ่มปรับโหมดการขับขี่ทั้งโหมด Citta, Strada, Sport Corsa, และ Corsa Plus ที่ยกมาไว้บนตัวก้านพวงมาลัยเช่นกัน แต่ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเครื่องบินรบยังคงติดตั้งอยู่ตรงกลางคอนโซลเช่นเดิม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ กล้องรอบคันทั้ง 3 ตัวที่ติดตั้งมา ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อสังเกตวัตุรอบข้าง แต่ยังสามารถใช้บันทึกคลิปวิดีโอเพื่อให้ลูกค้าเอาไว้โพสต์การขับของตนเองลงบนโลกโซเชียลได้ด้วย และตัวรถยังมาพร้อมระบบบันทึกข้อมูลในสนามแข่งขันทั่วโลกกว่า 150 แห่ง โดยมันสามารถบันทึกได้แม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ขับขณะใช้งานได้ด้วย หากคุณจับคู่มันเข้ากับนาฬิกา Apple Watch
ทั้งนี้ ราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในส่วนดังกล่าวออกมาใดๆทั้งสิ้น แต่ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง Ferrari 296 GTB ซึ่งถูกตั้งราคาขายในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเลขราวๆ 342,000 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 11.8 ล้านบาท