หลังจากที่ร่างต้นได้รับการปรับเล็กไปแล้วเมื่อต้นปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ Audi RS3 จะได้รับการอัพเดทโฉมสำหรับทำตลาดต่อไปในปี 2025 กันบ้าง
2025 Audi RS3 คือตัวรถที่ถูกปรับปรุงและอัพเดทใหม่ในระดับ Minor Change เช่นเดียวกับเหล่าร่างต้น Audi A3 ที่ทำการปรับโฉมไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเช่นเดียวกันสำหรับการปรับโฉมในครั้งนี้ มันก็จะต้องมาพร้อมกับการปรับปรุงรายละเอียดทั้งภายนอกและภายใน
เริ่มจากงานออกแบบภายนอก ที่แม้มันจะยังคงใช้ชุดล้อขนาด 19 นิ้ว ลายเดิม แต่มันก็มากับทั้งชุดกันชนหน้าแบบใหม่ ซึ่งส่วนกระจังหน้าอาจจะยังคล้ายเดิม แต่ช่องดักลมข้างล่างและด้านข้างได้ถูกออกแบบใหม่ ให้ใหญ่ขึ้นและยังถูกวางอยู่ในกรอบเดียวกันเพื่อเพิ่มความดุดันให้มากขึ้น, ชุดโคมไฟหน้ามีการปรับเพิ่มความละเอียดของแผงไฟ DRL ครึ่งล่างใหม่ ให้สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงกราฟฟิกไฟให้หลากหลายกว่าเดิม
และแม้ด้านข้างตัวรถจะดูไม่ได้แตกต่างอะไร แต่ด้านท้ายตัวรถก็มีการปรับรายละเอียดชุดใหญ่ ทั้งไฟท้ายที่ถูกปรับเปลี่ยนรายละเอียดดวงไฟด้านในใหม่ กันชนท้ายถูกปรับรายละเอียดตรงกลางให้ดูบึกบึนกว่าเดิม ด้วยการยกชิ้นงานส่วนดิฟฟิวเซอร์ให้สูงขึ้น แทนตำแหน่งแผงตะแกรงรังผึ้งของเดิม ซึ่งทำให้มันดูลงตัวกว่า และยังมีการปรับตำแหน่งการติดตั้งแถบทับทิมสะท้อนแสงใหม่ ให้เป็นแนวตั้ง รวมถึงเพิ่มแบถไฟทับทิมสะท้อนแสงมาคั่นแผงดิฟฟิวเซอร์ตรงกลางอีกหนึ่งจุดด้วยเพื่อเพิ่มอารมณ์ตัวแข่งในสนามเข้าไป
นอกนั้นในส่วนงานออกแบบภายในยังคงใช้งานออกแบบเดิม แต่คราวนี้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดไฟแวดล้อมภายในห้องโดยสารใหม่, ปรับเปลี่ยนวิธีและลวดลายการตัดเย็บเบาะนั่ง ที่พักแขนตรงกลาง และที่ด้านข้างแผงประตู รวมถึงบนพวงมาลัยใหม่ โดยทั้งหมดจะูกหุ้มด้วยหนังแนปป้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น
โดยหากลูกค้ายังไม่พอใจกับภาพลักษณ์เดิมโรงงานที่ Audi ให้ไป ลูกค้าก็สามารเลือกซื้อออพชันเบาะนั่งหลังคาร์บอนเฉพาะรุ่นเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทางค่ายเพิ่มออพชันนี้ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อใน Audi RS3
ในส่วนของขุมกำลัง ยังคงไม่ได้รับการปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนใดๆจากโฉมก่อนหน้า เพราะยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบเรียง ขนาด 2.5 ลิตร พ่วงเทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 400 PS และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร จับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro AWD พร้อมความสามารในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.8 วินาที กับความสามารในการทำความเร็วสูงสุด 290 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจริงๆของมัน ก็คือการปรับเซ็ทระบบขับเคลื่อน และระบบช่วงล่างใหม่ เพื่อการควบคุม และการเข้าโค้งที่สนุกสนานยิ่งขึ้น ทั้งระบบกระจายแรงบิดไปยังชุดล้อทั้งสี่ที่ถูกปรับเซ็ทใหม่, ระบบควบคุมอัตราส่วนแรงบิดหน้า-หลังที่สามารถปรับเซ็ทได้เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น, ระบบควบคุมการทรงตัวของรถที่ปรับได้ละเอียดกว่าเดิม, ระบบควบคุมแรงบิดในแต่ละล้อ, ระบบแปรผันค่าความหนืดโช้กไฟฟ้า
โดยทั้งหมดถูกเซ็ทอัพเพื่อลดอาการหน้าดื้อ หรือ Understeer ลง ช่วยให้รถสามารถจิกหน้าเข้าโค้งได้ฉับไวยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน นั่นก็หมายความว่าคราวนี้รถจะมีอาการท้ายขวางได้ง่ายขึ้นด้วย สำหรับคนที่อยากขับรถแบบท้ายสไลด์ตอนออกจากโค้ง
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หากอิงตามตัวเลขอย่างเป็นทางการในต่างประเทศ ก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก ส่วนการวางจำหน่ายในไทย ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งต้องรอติดตามดูกันต่อไป