หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูง ก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ ซึ่งหากเราคำนวนอัตราส่วนกันดีๆ เฉพาะค่าแบตเตอรีเพียงอย่างเดียว ก็อาจมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 50% ของตัวรถทั้งคัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าในปัจจุบัน มันก็ถือว่าถูกลงมากแล้วจากในอดีต
จากข้อมูลงานศึกษาโดยหน่วยงาน Department of Energy’s (DOE’s) Vehicle Technologies Office ในสหรัฐอเมริกา ระบุว่าในตลอดระยะเวลา 15 ปี ระหว่างปี 2008 – 2023 ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีมูลค่าลดลงกว่า 90% ซึ่งเป็นผลดีที่ทำให้ในปัจจุบันเหล่าผู้ผลิตสามารถลดต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถลดระดับลงมาจนสูสีกับรถยนต์สันดาปมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงในช่วงระยะเวลาทศวรรษกว่าๆที่ผ่านมา หลักๆแล้วก็จะอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตในขั้นตอนต่างๆที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านเคมี กับวัสดุศาสตร์ (การคิดส่วนผสม วัตถุดิบและสารตั้งต้น ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น), เทคโนโลยีการถลุงแร่, เทคโนโลยีการผลิตและการประกอบที่ช่วยทำให้คุณภาพแบตเตอรี่ต่อหน่วยดีขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งทาง DOE ก็ได้ระบุว่า จากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ที่มีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ราคาของแบตเตอรี่ต่อหน่วยกิโลวัตต์ แบบคำนวนตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันเทียบกับค่าเงินในอดีต ลดลงจนเหลือเพียง 139 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 4,770 บาท ต่อ กิโลวัตต์ เท่านั้น ในปี 2023 จากที่ควรจะอยู่ที่ 1,415 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 48,500 บาท ต่อ กิโลวัตต์ ในปี 2008
หรือหากตัวเลขในข้างต้นยังดูชัดเจนไม่พอ ก็ยกตัวอย่างให้เข้าใจกันง่ายๆได้อีกว่า หากรถยนต์ Tesla Model Y ที่มีราคาแบตเตอรี่ขนาด 81 kWh ขายเป็นอะไหล่ด้วยตัวเลข 11,259 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 386,000 บาท ในปัจจุบัน หากย้อนไปในปี 2008 ตัวแบตเตอรี่ขนาดเดียวกันนี้ ก็จะมีราคาสูงถึง 114,615 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 3,930,000 บาท กันเลยทีเดียว (เมื่ออิงจากค่าเงินในปัจจุบัน)
โดยข้อมูลชุดนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้ผลิตหลายราย ที่ระบุว่าแบตเตอรี่ จะมีค่าตัวถูกลงเรื่อยๆ จนทำให้รถยนต์ไฟฟ้า สามารถทำราคา หรือมีต้นทุนในการผลิตได้ใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปภายใน ในปี 2027 ที่จะถึงนี้ และจะทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่ารถยนต์สันดาปภายในอย่างเห็นได้ชัด ภายในไม่เกินสิ้นทศวรรษนี้
อย่างไรก็ดี จากปัญหาในปัจจุบัน นั่นคือการที่จู่ๆความต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของผู้คนทั่วโลก เริ่มจะไม่หวือหวาเหมือนอย่างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้หลายบริษัทผู้ผลิตรยนต์ เริ่มชะลอการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง บ้างคือพับโปรเจ็กท์กันไปเลยก็มี จึงทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ อาจไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องเร่งพัฒนา หรือแม้จะอยากพัฒนา ก็อาจจะขาดเงินทุนจากเหล่าผู้ผลิตอยู่ดี
แต่ในขณะเดียวกัน หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจเป็นการสื่อความหมายว่า ผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหลาย ยิ่งต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้น่าใช้มากขึ้น ทั้งในมุมของต้น ทุนและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็ได้ เพื่อให้ผู้คนกลับมาให้ความสนใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอติดตามดูกันต่อไป