Zeekr 009 อาจไม่ใช่สิ่งที่ชาวไทยถึงกับไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก เพราะในความจริงทางแบรนด์ได้เคยโชว์ตัวมันแล้วครั้งหนึ่งในงาน Motor Show 2024 และล่าสุดพวกเขาก็พร้อมแล้วที่จะวางจำหน่ายมันด้วยราคา 3,099,000 บาท ในไทย
Zeekr 009 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นที่ถูกจับตามองในไทยมาตั้งแต่การโชว์ตัวครั้งแรกเมื่อต้นปีที่งาน Motor Show 2024 ซึ่งจุดขายของมัน ก็คือการนำเสนอความเป็นรถตู้ไฟฟ้าที่ถูกอัดแน่นด้วยลูกเล่นสุดแสนพรีเมียมมากมายเข้าไป ภายใต้ความรับผิดชอบของ Stefan Sielaff อดีตดีไซน์เนอร์ของ Audi ที่สำนักงานของ Zeekr ในเมืองโกเดนเบิร์ก ประเทศสวีเดน
เริ่มจากงานออกแบบภายนอก ที่หากไม่นับเรื่องความเป็นรถทรงกล่องตามฉบับรถตู้ MPV ซึ่งถูกตีกรอบไว้อย่างชัดเจน (แต่มีค่า Cd ต่ำเพียง 0.27 เท่านั้นสำหรับเจ้าเบิ้มคันนี้) ก็คือการเล่นรายละเอียดตามส่วนต่างๆที่เน้นภาพลักษณ์หรูหรา ทั้งกระจังหน้าปิดทึบ แต่ออกแบบซี่ตะแกรงถี่ๆแนวตั้งตรงกลางให้เป็นแถบโครเมียมร่อง 3 มิติ โดยที่ด้านล่างยังคงมีช่องดักลมปกติ แต่ตรงกลางจะเป็นที่ตั้งของเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุทางด้านหน้า
และด้วยความเป็นรถยนต์จากแบรนด์ Zeekr ทางดีไซน์เนอร์จึงไม่ลืมที่จะใส่ชุดแถบไฟ DRL แบบเขี้ยวเสือ รูปตัว U คว่ำมาให้ทางครึ่งบนของด้านหน้าตัวรถ ส่วนตำแหน่งไฟหน้าจริงๆ จะอยู่ในจุดกึ่งกลางของด้านหน้าตัวรถฝั่งซ้ายและฝั่งขวา และเป็นดวงไฟ Projector LED ฝั่งละ 3 ดวง โดยที่ด้านล่างโคมไฟ จะเป็นตำแหน่งของช่องดักอากาศไว้ไล่ลมวนออกจากซุ้มล้อคู่หน้า
เมื่อมองจากด้านข้าง เราก็จะพบทั้งความหรูหราจากชุดล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว ใหญ่สะใจและออกแบบงานดีไซน์ให้เหมือนมีประกายแสงสีเงินกระจายออกจากตรงกลาง ที่สำคัญคือมันยังรัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport EV ซึ่งเป็นยางเน้นสมรรถนะ
และยังพบความใส่ใจในเรื่องรายละเอียดอื่นๆอย่าง การให้กระจกหูช้างขนาดใหญ่ที่เสา A เช่นเดียวกับบานกระจกด้านข้างขนาดใหญ่ตั้งแต่หัวจรดท้าย ซึ่งใหญ่แทบจะเรียกได้ว่ามากที่สุดของรถตู้ขนาดไล่เลี่ยกัน แต่เพื่อไม่ให้ตัวรถดูสูงโปร่งเกินไป ทางดีไซน์เนอร์จึงมีการออกแบบแถบโครเมียมตัดแนวกระจกด้านบนด้วยเพื่อหลอกสายตาคนที่มองไปยังตัวรถทางด้านข้าง
ส่วนด้านท้ายตัวรถ ยังคงใส่ความโดดเด่นด้วยชุดสปอยเลอร์หลังทางด้านบน คั่นกลางด้วยกระจกหลังบานใหญ่ก่อนลงไปถึงช่วงไล่ตัวรถซึ่งเป็นแถบไฟท้าย LED แบบ Cross Tail Light ซึ่งมีการเล่นกราฟฟิกและการวางตำแหน่งดวงไฟไว้ค่อนข้างสวยงาม รับกับงานออกแบบทางด้านหน้าได้เป็นอย่างดี ขณะที่กันชนท้ายก็เน้นความเรียบง่ายด้วยการปั๊มทรงกันชนให้มีความโหนกนูนเพื่อเพิ่มมิติตัวรถด้านหลังให้ดูไม่เรียบจนเกินไป และใส่แถบโครเมียมตัดโทนอีกเพียงเล็กน้อยก็เท่านั้น
และด้วยความเป็นรถตู้ที่เน้นเรื่องของพื้นที่ภายในห้องโดยสารพอสมควร มันจึงมาพร้อมกับขนาดตัว 5,209 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 2,024 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, และ 1,867 มิลลิเมตร ในด้านสูง กับระยะฐานล้ออีก 3,205 มิลลิเมตร (ที่มา Zeekr Global)
ส่งผลให้คราวนี้ ผู้ผลิตสามารถยัดของเล่นสุดหรูเข้าไปได้มากมาย ทั้งคอนโซลหน้าที่ดูกว้างขวาง ซึ่งมีชุดจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ตามด้วยคอนโซลกลางพร้อมช่องเก็บของไซส์เบิ้ม และยังมีถาดชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายใส่มาให้เสร็จสรรพ
จุดขายสำคัญที่แท้จริงภายในห้องโดยสาร ก็คือการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารตอนหลัง เพราะไม่ใช่แค่เบาะนั่งคู่หน้าเท่านั้นที่จะถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังแนปป้าเจาะรูพร้อมระบบทำความร้อนและระบายอากาศ รวมถึงระบบปรับไฟฟ้า ตัวเบาะคู่กลางแบบ Captain Seat ก็มีลูกเล่นที่คล้ายกันกับเบาะหน้า แต่มีลูกเล่นเสริมเข้ามามากมายทั้งระบบนวด 3 ระดับ, แผ่นรองน่องปรับไฟฟ้าที่ท้ายเบาะ, แท่นวางเท้าซึ่งต้องกางออกมาจากเบาะผู้โดยสารคู่หน้าสุด
และด้วยความเป็นรถผู้บริหาร หรือจะใช้สันทนาการแบบคนบ้านใหญ่ มันจึงได้รับการติดตั้งชุดจอเพื่อความบันเทิง ขนาด 17 นิ้ว แบบ OLED ซึ่งสามารถสั่งกางเปิด หรือพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า หรือหากผู้โดยสารตอนหลังอยากจะประชุมงาน ก็สามารถเปิดระบบสื่อสาร แล้วใช้งานกล้องกับไมโครโฟนรอบห้องโดยสารตอนหลังได้ (ในตำแหน่งข้างเบาะแถวสามก็มีไมค์รับเสียง) โดยที่ชุดลำโพงจะเป็นของ Yamaha ทั้งหมดกว่า 30 จุด ซึ่งหากผู้โดยสารกังวลว่าแสงในห้องโดยสารมืดเกินไปจนประชุมงานไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะเหนือหลังคามีกระจกพาโนรามิคซันรูฟบานใหญ่ใส่มาให้อีก
หากความสะดวกสบายยังไม่พอรถคันนี้ยังมีพอร์ทชาร์จไฟอุปกรณ์อีกเล็กทรอนิกส์อีกเกือบ 10 จุด ช่องเก็บของและวางขวดน้ำอีกมากมาย, ประตูบานสไลด์ด้านข้าง ก็สามารถสั่งการเปิดปิดได้ดด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งจากสวิทช์ตรงเสา หรือสั่งผ่านหน้าจออินโฟเทนเมนท์ที่คอนโซลหน้า
หรือหากเป็นตัวรถที่วางจำหน่ายในต่างประเทศ มันยังมีออพชันช่วงล่างถุงลมไฟฟ้าที่สามารถประผันความหนืดในการยืดยุบเพื่อความสามารถในการซับแรงตามสภาพผิวถนนที่ครอบคลุม และยังใช้ในการโหลดตัวรถให้เตี้ยลง เพื่อการเข้าออกห้องโดยสารที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นได้อีก ซึ่งออพชันนี้ต้องรอลุ้นกันว่าจะมีให้เลือกในตัวรถรุ่นที่ขายในไทยหรือไม่ ?
ส่วนระบบความปลอดดภัยขั้นสูง ทาง Zeekr ก็ยัดระบบ ADAS มาให้เต็มๆกว่า 30 ฟังก์ชัน โดยมันจะอาศัยการทำงานผ่านระบบซอฟท์แวร์อัจฉริยะที่ทางค่ายเรียกว่า Mobileye ทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์สำคัญๆอย่าง กล้องรอบคัน 7 ตัว, เซนเซอร์ Ultrasonic คลื่นสั้น สำหรับตรวจจับวัตถุระยะใกล้อีก 12 ตำแหน่ง, และยังมีเซนเซอร์คลื่นยาวอีก 1 ตัว สำหรับจับวัตถุระยะไกลด้านหน้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสารภายในรถ
โดย Zeekr 009 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Architecture) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันกับที่ทางค่ายใช้สร้าง Zeekr 001 รถยนต์ไฟฟ้าทรงชูทติ้งเบรก แถมทางบริษัทแม่อย่าง Geely ยังเอาไปใช้ในการสร้างรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าตัวแรงที่เป็นกระแสบนโลกโซเชียลของประเทศไทยอยู่พักหนึ่งอย่าง Lotus Electre อีกดด้วย
และนอกจากเรื่องของสมรรถนะที่น่าสนใจ ทาง Zeekr ยังระบุอีกว่าโครงสร้างตัวถังของเจ้า 009 สามารถรับแรงเฉือนได้มากถึง 36,450 นิวตันเมตร/องศา ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในตลาดคลาสเดียวกัน
ส่วนขุมกำลังที่ให้มา ก็เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่แบ่งกันทำงานขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าและคู่หลัง ในลักษณะของระบบขับเคลื่อน AWD ให้กำลังรวมกันสูงสุด 603 PS สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 4.5 วินาที แม้จะมีน้ำหนักตัวที่มากถึง 2,830 กิโลกรัม
ท้ายสุดคือเรื่องแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่คือแบต Qilin ซึ่งถูกผลิตโดย CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยแบตเตอรี่สำหรับประเทศไทย จะได้แบตเตอรี่ Lithium-ion (MCM & Graphite) ขนาด 116 kWh ซึ่งรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 310 kW จนสามารถชาร์จไฟจาก 10 – 80% ได้ภายในเวลา 11.5 นาที และสามารถวิ่งได้ไกลสุด 686 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC (หรือ 582 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP)
โดย ZEEKR 009 สนนราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยด้วยราคา 3,099,000 บาท พร้อม 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่
- สีขาว Crystal White (ภายในโทนสีดำ)
- สีน้ำเงิน Electric Blue (ภายในโทนสีดำ หรือ ภายในทูโทนสีน้ำเงิน/ขาว)
- สีดำ Phantom Black (ภายในโทนสีดำ หรือ ภายในทูโทนสีเทา/ขาว)
นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับข้อเสนอพิเศษ ประกันภัยชั้น 1, การรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปีหรือ 180,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และบริการ Mobile Service นาน 5 ปี และ พิเศษสุด สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรก รับฟรี Wallbox จาก “VREMT” พร้อมแพคเกจติดตั้ง* มูลค่า 70,000 บาท
*หมายเหตุ: เมื่อจองและรับรถภายใน 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ข้อมูลตัวรถ จาก Zeekr Global