Home » AVATR 11 อเนกประสงค์คูเป้ไฟฟ้า เปิดราคาพิเศษเริ่ม 1.999 ล้านบาท
รถใหม่ รถใหม่ในประเทศ ราคารถใหม่

AVATR 11 อเนกประสงค์คูเป้ไฟฟ้า เปิดราคาพิเศษเริ่ม 1.999 ล้านบาท

หลังโชว์ตัวในไทยครั้งแรกไปก่อนหน้านี้ และมีการนำมาวิ่งทดสอบให้เห็นเป็นพักๆตลอดช่วงต้นปี 2024 AVATR 11 ก็พร้อมแล้ว สำหรับการวางจำหน่ายในบ้านเรา ในราคาเริ่มต้น 2.399 ล้านบาท

AVATR 11 เป็นรถยนต์ทรงเอสยูวีกึ่งสปอร์ตด้วยหน้าตาคล้ายกับ AVATR 12 โดยอ้างอิงเส้นสายในการออกแบบตามหลักอัตราส่วนทองคำ ซึ่งเป็นทฤษฎีด้านงานศิลปะ ที่เน้นในเรื่องของความลงตัวในทุกสัดส่วน โดดเด่นด้วยงานออกแบบแถบไฟ DRL รูปตัว C ที่กันชนหน้า และมีแถบไฟ DRL อีกชั้นซึ่งทำหน้าที่เป็นไฟเลี้ยวคู่บน ส่วนไฟหน้าแบบ Projector LED จะอยู่ทางด้านล่างของแถบไฟ DRL อีกที

นอกจากนี้ กันชนหน้ายังเน้นการผสมผสานระหว่างความสปอร์ตและความมินิมอล ด้วยกันชนหน้าแบบกึ่งปิดทึบ และมีการเปิดช่องรับลมทางด้านล่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ด้วยรูปทรงช่องรับลมแบบคางหมูจึงทำให้มันช่วยเสริมภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยวขึ้นมาอีกหน่อย

ส่วนด้านข้าง มาพร้อมกับขอบซุ้มล้อคล้าย Deepal S07 ของแบรนด์ร่วมสังกัด บ.แม่ แต่ทำชิ้นงานเป็นสีเดียวกับตัวถัง และยังให้ชุดล้อที่มีขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว ขณะที่กระจกมองข้างเป็นแบบยึดกับบานประตู เพื่อให้พื้นที่กรอบกระจกมีช่วงที่เป็นกระจกหูช้าง ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย

ต่อด้วยเส้นข้างประตูจะเน้นความกลม มน โดยเฉพาะในส่วนของสันประตู ที่จะยิ่งดูเรียบเนียนขึ้นอีก ด้วยมือเปิดประตูแบบเก็บซ่อนเรียบไปกับตัวถัง แต่ชายล่างบานประตู จะมีการเว้นพื้นที่ไว้เพื่อติดตั้งแผ่นพลาสติกกันกระแทก

และด้านท้ายรถก็มีการปรับทรงให้ตัวรถมีความท้ายลาด คล้ายๆกับ Porsche Cayenne Coupe, BMW X6 แต่เจ้า Avatr 11 จะเน้นการใช้เส้นสายที่ดูเรียบง่ายกว่า โดยเน้นไปที่การเชื่อมต่อเส้นโค้งมาจากข้างตัวถัง แล้วตวัดเข้ากับแถบไฟท้ายแอบบ Cross Tail Light ที่ค่อนข้างแบน

และแอบซ่อนความแปลกตาด้วยการติดตั้งกระจกแบบเว้าลึกเข้าไปจากฝาท้าย พร้อมครอบด้านบนด้วยสปอยเลอร์หลังอีกที ซึ่งดีไซน์ลักษณะนี้ ปกติแล้วจะมีให้เห็นในรถซุปเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางหลังเสียมากกว่า แล้วจึงปิดด้วยกันชนท้าย ที่มีการตัดโทนครึ่งล่างด้วยชิ้นส่วนสีดำที่ยังคงใช้ลายเส้นโค้งมน รับกับส่วนอื่นๆของตัวถังเช่นเคย

ภายในห้องโดยสาร เน้นความโปร่งโล่งสบายในส่วนของกระจกบานหน้า และบานข้าง ทั้งของฝั่งประตูคู่หน้าและคู่หลัง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประตูพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟฟ้ากึ่งอัตโนมัติ พร้อมเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุกีดขวาง สั่งการได้จากหน้าจอภายในรถ ส่วนกระจกท้ายอาจจะไม่ได้กว้างมากนัก โดยสังเกตได้จากงานออกแบบภายนอก ซึ่งทางค่ายตั้งใจให้มันดูเหมือนกับท้ายของรถซุปเปอร์คาร์ซึ่งดูหล่อเท่กว่ารถยนต์ทั่วๆไป

ขณะที่ตัวคอนโซลหน้า ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Keystone (หินหลักบนยอดโค้ง) หรูหราให้ความเป็นส่วนตัว พร้อมชุดหน้าจอ 3 ตัว แบ่งเป็นจอขนาด 10.25 นิ้ว สำหรับทั้งผู้ขับ และผู้โดยสาร กับจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว สำหรับควบคุมลูกเล่นต่างๆภายในรถทั้งหมด ทำงานร่วมกับชุดลำโพง 25 ตัว กำลังขับรวมสูงสุด 2,016 วัตต์ จากแบรนด์ชั้นนำของอังกฤษ Meridian

หากไม่พอ ระบบไฟแวดล้อม หรือ Ambient Light ยังสามารถปรับเฉดแสงได้กว่า 256 สี ตามด้วยหลังคาพาโนรามาขนาดใหญ่พิเศษให้ความรู้สึกโปร่งสบาย และสว่างไสวสามารถป้องกันรังสียูวีถึง 99.9% และป้องกันความร้อนถึง 80%

ด้านความสะดวกสบาย เบาะนั่งของรถทั้งหมด จะหุ้มด้วยหนัง Nappa โดยการปรับตำแหน่งเบาะ จะมีสวิทช์ติดตั้งไว้ที่แผงข้างประตู ไม่ได้อยู่กับเบาะนั่ง ทุกที่นั่ง เพราะหากลูกค้าเลือกรถแบบ 4 ที่นั่ง ตัวเบาะคู่หลังก็จะสามารถปรับตำแหน่งการเอนนอนได้เช่นกัน โดยมีที่วางแขนแบ่งโซนตรงกลาง มีระบบเป่าลมระบายความร้อนทุกตำแหน่ง มีระบบนวดสำหรับเบาะคู่หน้า นอกนั้นก็ยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายอีก 2 ตำแหน่งที่คอนโซลกลาง และอีก 1 ตำแหน่งทางด้านหลัง

นอกนั้นในส่วนลูกเล่นระบบความปลอดภัย ตัวรถมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง L2+ (ADAS) มีเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และกล้อง HD 5 ตัว เพื่อการขับขี่ที่แม่นยำและไร้กังวลบนท้องถนน ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันแบบผสมผสาน (IACC) และระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว (UDLC) ทำให้การเดินทางของคุณราบรื่น

เสริมฟังก์ชันความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉิน (ELK) ช่วยให้คุณมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (APA) ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องง่าย และพื้นที่จอดรถขนาดเล็กก็ไม่เป็นปัญหาด้วยระบบช่วยจอดอัตโนมัติจากระยะไกล (RPA)

นอกจากนี้ ฟีเจอร์อัจฉริยะของ AVATR 11 ยังสามารถอัปเดตได้อย่างต่อเนื่องผ่านระบบ Over-The-Air (OTA) ช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น

2 รุ่นย่อย ต่างทางเลือก

ตามรายละเอียด ทางเทคนิค Avatr 11 มีให้เลือก ทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Standard Range และรุ่น Long Range

ทั้งคู่ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังขับสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตัน ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็วสูงสุด 200 ก.ม./ช.ม.

  • รุ่น Standard พก แบตเตอร์รี่ ขนาด 90.38 Kw อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 6.6 วินาที
  • รุ่น Long Range พก แบตเตอร์รี่ ขนาด 116.79 KW อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 6.9 วินาที

ทั้งคู่รองรับการชาร์จ DC สูงสุด 240 Kw สามารถชาร์จไฟฟ้า 30-80% ในเวลา 15 และ 25 นาที ตามลำดับ และ AC กำลังไฟ 11 KW ใช้เวลา ชาร์จ 10.5 และ 13.5 ชั่วโมง ในแต่ละรุ่น

ส่วน ช่วงล่างเป็นแบบ Double wish Bone ทางด้านหน้า และด้านหลัง แบบ ไฟล์ ลิงค์ ตอบสนองในการขับขี่ อย่างมั่นใจ และมีความนุ่มนวลในการขับขี่

จุดต่าง ระหว่างรุ่น

นอกจากขนาดแบตเตอรืรี่ใหญ่แล้ว จุดแตกต่าง ระหว่าง Avatr 11 ใน ทั้ง 2 รุ่น มีดังต่อไปนี้

รุ่น Long Range

  • มาพร้อม ล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว
  • แบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ 116.79 Kw
  • ชุดปั้มเบรกหน้า Brembo 4 พอท
  • ออพชั่น ประตู เปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า พร้อม ฟังชั่น ประตูดูด (ในรุ่นปกติ ได้ประตูดูด อย่างเดียว)

นอกนั้นในรายละเอียดอื่นๆ ให้ เหมือนๆ กัน ทั้งรุ่นล่างและรุ่นบน

สำหรับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ AVATR 11 มีราคาดังต่อไปนี้

  • AVATR 11 – Standard Range : 2,099,000 บาท
  • AVATR 11 – Long Range : 2,299,000 บาท

พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ AVATR WithU Select ครอบคลุมสิทธิพิเศษตั้งแต่ที่ชาร์จติดผนังฟรี รวมถึงการรับประกัน การบำรุงรักษา และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน

และพิเศษสำหรับลูกค้า 200 ท่านแรกที่จอง AVATR 11 รับข้อเสนอบิ๊กเซอร์ไพรส์ราคาพิเศษในงานเปิดตัว* ดังนี้

  • AVATR 11 – Standard Range : 1,999,000 บาท
  • AVATR 11 – Long Range : 2,199,000 บาท

*สำหรับลูกค้า 200 ท่านแรก ที่จองรถ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.