Home » ส่องความเปลี่ยนแปลง 9th Generation “Toyota Camry” MY2025 ก่อนขายจริงในไทย 10 ตุลาคม นี้
ข่าวสารยานยนต์

ส่องความเปลี่ยนแปลง 9th Generation “Toyota Camry” MY2025 ก่อนขายจริงในไทย 10 ตุลาคม นี้

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลังการเปิดตัวและทำตลาดในประเทศอื่นๆมานานเกือบปี ในที่สุด 2025 Toyota Camry เจเนอเรชันที่ 9 ก็ใกล้พร้อมแล้วที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทยของเราเช่นกัน

9th Generation “Toyota Camry” MY2025 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในตลาดประเทศจีนเมื่อปลายปี 2023 และค่อยๆขยายพื้นที่ทำตลาดต่อเนื่องในหลายๆประเทศตลอดช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 มาโดยตลอด

และสำหรับความเปลี่ยนแปลงของตัวรถ Toyota Camry เจเนอเรชันใหม่พร้อมรหัสประจำรุ่น “VX80” แท้จริงแล้ว มันก็ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม TNGA-K เหมือนกับรุ่นพี่รหัส “VX70” ที่เตรียมตกรุ่นในไทยเร็วๆนี้เช่นเดิม

ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าตัวรถยังคงมีสัดส่วนในภาพรวมที่ไม่หนีจากเดิมเท่าไหร่นัก และยังมีเส้นสายบางจุดที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับรุ่นพี่ โดยเฉพาะบริเวณกรอบเสา A และประตูบานหน้า แม้กระทั่งกระจกมองข้าง

นอกนั้นในส่วนไฟหน้าได้มีการปรับงานออกแบบใหม่ ให้มีกลิ่นอายแบบ “ฉลามหัวค้อน” หรือ “Hammer Head” อันเป็น Design Langauge หลักของรถยนต์จาก Toyota ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้ตัวรถดูมีความสปอร์ต ดุดัน ทันสมัยมากขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายตัวรถที่ถูกปรับให้ดูโดดเด่น สะดุดตากว่าเดิมเช่นกัน ทั้งจากไฟท้าย และเส้นสายกันชนท้าย

ที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือภายในห้องโดยสาร ซึ่งถูกปรับใหม่หมดจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมใดๆ ทั้งคอนโซลหน้าใหม่ ที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ทั้งจากการแบ่งสัดส่วนและเส้นสายงานออกแบบที่ใช้ ตัวหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ก็มีขนาดใหญ่สุดถึง 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายทั้งสองระบบได้แล้ว โดยที่ด้านล่างเป็นแผงแสดงผลข้อมูลระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ ชุดคันเกียร์และปุ่มควบคุมระบบการขับขี่ต่างๆ รวมถึงช่องวางแก้วน้ำกูถูกปรับใหม่ให้ดูตรงยุค

แม้แต่พวงมาลัยก็ปรับใหม่ให้ดูลงตัวกว่าเดิม เช่นเดียวกับชุดหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถและมาตรวัดที่กลายเป็นแบบ Full-Digital TFT แล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหากยังไม่พอ ตัวรถในบางสเป็คที่วางจำหน่ายในต่างประเทศยังมีชุดจอ HUD ขนาด 10 นิ้ว ใส่มาให้ด้วย

ถึงกระนั้นแนวชิ้นส่วนประกอบแผงข้างประตูกลับยังคงมีการจัดสัดส่วนและเส้นสายที่คล้ายเดิมอยู่พอสมควร โดยอาจจะมีแค่การเปลี่ยนลวดลายชิ้นส่วนการตัดเย็บใหม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่สามารถสังเกตด้วยสายตาได้ในทันที และแน่นอนว่าตัวเบาะเองก็มีการวางแผนแนวการตัดเย็บใหม่ใหม่เช่นกัน แม้ว่าลักษณะโครงเบาะจะยังคงคล้ายเดิมก็ตาม

ด้านข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆของตัวรถ หากอิงตามสเป็คที่วางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา เราจะพบว่าคราวนี้ทาง Toyota USA ได้ตัดสินใจทำตลาดแค่เฉพาะตัวรถที่ใช้ขุมกำลังเบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.5 ลิตร เท่านั้น โดยมันจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบ 1 มอเตอร์ หรือ 2 มอเตอร์ก็ได้ แล้วแต่ลูกค้าจะเลือกว่าอยากให้มันเป็นตัวขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ

แน่นอน สำหรับประเทศไทยของเรา ย่อมมีโอกาสสูงมากที่สุดท้ายแล้ว ทาง Toyota ประเทศไทย จะเลือกวางจำหน่ายเฉพาะตัวรถรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามันจะใช้ขุมกำลัง เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.5 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Variable Valve Timing-intelligence by Electric motor หรือ VVT-iE ให้กำลังสูงสุด 187 PS ที่ 6,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600 – 5,200 รอบ/นาที ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยวกำลังขับสูงสุด 136 PS ทำให้พละกำลังรวมสูงสุด มีตัวเลขที่ 228 PS ส่วนตัวเลขแรงบิดรวมสูงสุด ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขใดๆออกมา

ขณะที่ระบบกันสะเทือนยังคงเป็นแบบอิสระทั้งสี่ล้อ ด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งแม้ลักษณะกลไกจะคล้ายเดิม แต่ทาง Toyota ก็ระบุว่าพวกเขาได้มีการปรับเซ็ท ปรับจูนการทำงานของมันใหม่ ให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวรถที่มีการปรับเปลี่ยนในหลายๆจุดเพื่อการซับแรงต่างๆที่เรียบเนียนกว่าเดิม

โดยที่ในฝั่งระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆว่าพวกเขาได้มีการปรับเซ็ทการทำงานใหม่ด้วยหรือไม่ ?

มิติตัวรถของ Camry เจเนอเรชันใหม่ หากอิงตามสเป็คของตัวรถในสหรัฐอเมริกา ก็จะมีตัวเลขด้านกว้าง (ไม่รวมกระจกมองข้าง) 1,839 มิลลิเมตร, ด้านยาว 4,915 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,445 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้อ 2,824 มิลลิเมตร, ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,580 มิลลิเมตร, ความกว้างฐานล้อคู่หลัง 1,595 มิลลิเมตร, ความสูงใต้ท้องรถ 137 มิลลิเมตร และน้ำหนักตัวรถรวมของเหลวอีก 1,605 กิโลกรัม

ท้ายสุดคือเรื่องของระบบความปลอดภัยและระบบอำนวยความสะดวกในการใช้งานที่ให้มา ซึ่งก็ถือว่ายังคงจัดมาให้ครบครัน โดยหากเป็นการเลือกออพชันเต็ม ก็จะมีทั้ง

  • Toyota Safety Sense™ 3.0 (TSS 3.0) – Pre-Collision System with Pedestrian Detection (PCS w/PD), Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control (DRCC), Lane Departure Alert with Steering Assist (LDA w/SA), Lane Tracing Assist (LTA), Road Sign Assist (RSA), Automatic High Beams (AHB), Proactive Driving Assist (PDA)
  • Collision sensors
  • Predictive Fuel-Efficient Drive
  • Backup camera with dynamic gridlines
  • Panoramic View Monitor (PVM), Driver Monitor Sensor
  • Traffic Jam Assist (TJA)
  • Front and Rear Parking Assist with Automatic Braking (PA w/AB)
  • Lane Change Assist (LCA)
  • Rear Cross-Traffic Braking (RCTB)
  • Front Cross-Traffic Alert (FCTA)
  • Tire Pressure Monitor System (TPMS)
  • Blind Spot Monitor (BSM)
  • Rear Cross-Traffic Alert (RCTA)
  • Safe Exit Alert (SEA)
  • Enhanced Vehicle Stability Control (VSC)
  • Traction Control (TRAC)
  • Anti-lock Brake System (ABS)
  • Electronic Brake-force Distribution (EBD)
  • Brake Assist (BA)
  • Smart Stop Technology® (SST)
  • Hill Start Assist Control (HAC)
  • ถุงลมนิรภัย 8 จุด

โดยราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ 2025 Toyota Camry ในประเทศสหรัฐอเมริกา หากเจาะจงเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ก็จะเริ่มต้นตั้งแต่ 28,400 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 927,000 บาท และแพงสุดที่ 34,600 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 1,129,000 บาท เท่านั้น

ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศไทย แน่นอนว่าคงไม่ถูกเหมือนในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่แน่ว่ามันอาจถูกลงกว่ารุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบัน เมื่ออิงจากการที่ราคาของมันเองก็ถูกกว่าเดิมในสหรัฐอเมริกาและตลาดอื่นๆด้วยเช่นกันนั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.