หลังปล่อยให้ตัวรถโฉมใหม่ ทำตลาดในยุโรปไปปีกว่า ล่าสุด Mazda CX-5 โฉม Minorchange ปี 2025 ก็ได้พร้อมแล้วสำหรับการวางจำหน่ายในไทย โดยเปิดราคาเริ่มต้นที่ 1,219,000 บาท
2025 Mazda CX-5 มาพร้อมกับการปรับโฉมใหม่ในหลายๆจุด โดยคราวนี้ แม้จะยังคงเป็นการปรับเล็ก แต่มันก็มาพร้อมกับหน้าตาที่ดูทันสมัยมากขึ้นโดยไม่ทิ้งเอกลักษณ์ดั้งเดิมไป
เริ่มจาก การปรับชุดโคมไฟหน้าใหม่ จากแบบ LED Projector ดวงเดียวในหนึ่งโคม กลายเป็นไฟ LED พร้อมแถบ DRL สองช่องในหนึ่งโคม ซึ่งดูสวยลงตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับรายละเอียดกระจังหน้าใหม่ ให้ดูสวยงามสะดุดตากว่าเดิม
และยังมีการปรับงานออกแบบกันชนหน้าใหม่ โดยตัดแถบช่องไฟตัดหมอกทิ้งไป เพื่อให้ตัวรถดูสะอาดตามากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ยังดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้นรับกับช่องลมทางด้านล่างเป็นอย่างดี โดยที่แถบชายล่างกันชนหน้า ยังมีการทำสีแบบเดียวกันตัวถังในรุ่นท็อปอีกด้วย เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์สปอร์ตให้กับตัวรถ เช่นเดียวกับชิ้นงานชายล่างตัวถังรอบคัน เว้นเพียงบริเวณกันชนท้าย ช่วงติดกับแนวปลายท่อไอเสียแบบใหม่เท่านั้น เพื่อความสบายใจในการใช้งานของผู้ขับ (จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการกระแทก หรือความเสียหายของชุดสีเมื่อเกิดการกระแทกทางด้านท้าย)
ส่วนด้านข้างและด้านท้ายตัวรถ ก็มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของชุดล้อลายใหม่ทุกรุ่นย่อย และยังมีการใช้สีโทนสว่างมากหรูหราขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ไฟท้ายก็มีการปรับใหม่ ให้มีแถบไฟเบรกแบบ 2 ชั้นคล้ายกับไฟหน้า และเปลี่ยนชิ้นปิดฝาท้ายใหม่ ให้รับกับงานออกแบบฝาท้ายมากกว่าเดิมเพียงเท่านั้นเป็นอันจบงานในส่วนของการตกแต่งภายนอก
ภายในห้องโดยสาร ยังคงเน้นดีไซน์เดิม มีเพียงการปรับวัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าเป็นแบบ Real Wood (ไม้เสมือนจริง) ปรับวัสดุหุ้มเบาะนั่งในรุ่นท็อปเป็นหนังแนปป้าสี Deep Red เสริมหลังคาซันรูฟไฟฟ้า
และมีการเพิ่มออพชันความสะดวกสบายใหม่ๆเข้ามา ทั้ง แป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ในทุกรุ่นย่อย,อัพเกรดหน้าจอทัชสกรีน 8 นิ้วใหม่ ให้รองรับระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านฟีเจอร์ Apple CarPlay แบบไร้สาย ส่วนระบบ Android Auto ยังต้องเชื่อมต่อผ่านสาย USB อยู่ โดยหน้าจอจะทำงานร่วมกับทั้งลูกบิดกลางคอนโซล Center Commander และลำโพง BOSE 10 ตำแหน่ง, รวมถึงเพิ่มแท่นชาร์จไฟ Wireless Charger เข้ามาแล้วเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับชุดฝาท้ายไฟฟ้า
นอกจากนี้ ในส่วนระบบความปลอดภัยขั้นสูง ยังจัดมาให้ครบครัน ทั้ง
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-Keep Assist System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
- ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go (Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (Smart Brake Support)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ แบบ Advance หรือ Advance SCBS (Advanced Smart City Brake Support)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse)
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
นอกนั้นในส่วนของรายละเอียดทางเทคนิคตัวรถ โดยเฉพาะในส่วนของช่วงล่าง ทาง Mazda ระบุว่าพวกเขาได้มีการปรับเซ็ทการทำงานช่วงล่างใหม่ ทั้งชุดสปริงและตัวโช้กอัพ ปรับปรุงคานกลางใต้ห้องโดยสาร เพิ่มวัสดุซับเสียง ให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดแรงสั่นสะเทือนเข้าสู่ห้องโดยสารให้น้อยลง
ขณะที่เครื่องยนต์ก็ได้มียกเลือกรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 เทอร์โบ ทิ้งไป และเหลือไว้เพียง
- เครื่องยนต์ SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถตอบสนองต่ออัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม ให้พละกำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอิเล็กทรอนิกไดเร็คอินเจ็คชั่น รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงถึง 13.9 กิโลเมตร/ลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- เครื่องยนต์ SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร หรือเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล มาพร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าเดิมในทุกรอบความเร็ว ทั้งแรงและประหยัด ให้กำลังถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD รวมถึงระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT สามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 15.9 กิโลเมตร/ลิตร ได้รับการรับรองมาตรฐานการปล่อยไอเสียระดับ Euro5 และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
โดย New Mazda CX-5 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย และจะมีราคาจำหน่ายโดยประมาณการปรับลดลงจากรุ่นปัจจุบัน ตั้งแต่ 100,000 บาท จนถึง 250,000 บาท
- รุ่น 2.0 S : ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,219,000 บาท
- รุ่น 2.0 SP : ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,299,000 บาท
- รุ่น XDL : ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,659,000 บาท
และมีการเพิ่มเฉดสีใหม่เข้ามา ได้แก่ สีเทา โพลี เมทัล เกรย์ (Polymetal Gray) และ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz) นอกนั้นยังคงมีอีก 5 เฉดสีให้เลือกซื้อดังเดิม ทั้ง สีขาว สโนเฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl), สีดำ เจ็ท แบล็ค (Jet Black), สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู (Deep Crystal Blue), สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray), และสีประจำแบรนด์ อย่าง สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal)