Porsche ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความพยายามในการผันตัวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบเป็นกลุ่มต้นๆ แต่ดูเหมือนว่าด้วยสถานการณ์ต่างๆที่รุมเร้าในช่วงขวบปีที่ผ่านมา จะทำให้พวกเขาค่อนข้างติดขัดในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการลุยตลาดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
จากการรายงานข้อมูลล่าสุดโดยสื่อเยอรมัน ระบุว่าขณะนี้ทาง Porsche กำลังประสบปัญหาหลายด้านในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ๆของตน หรือแม้กระทั่งโมเดลปัจจุบันที่ทำตลาดมาสักพักใหญ่ หรือที่พึ่งเปิดตัวในปี 2024 ที่ผ่านมาก็ด้วย
เริ่มจากตัวรถสปอร์ตในตระกูล 718 อย่าง Porsche Boxster (+Spyder) และ Porsche Cayman ที่หากใครเป็นสาวกก็คงพอจะทราบกันว่า ในขณะที่ตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 ของตระกูล เริ่มถูกยุติการทำตลาดในหลายๆประเทศไปแล้ว ฝั่งตัวรถเจเนอเรชันที่ 5 เอง ก็ได้ถูกพัฒนามาแล้วไม่น้อยกว่าขวบปีเช่นกัน แถมทางค่ายยังระบุว่ามันจะมาพร้อมกับทางเลือกขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นด้วย
อย่างไรก็ดี แม้กำหนดการเปิดตัวรถเบื้องต้น จะถูกคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2025 ทว่าแหล่งข้อมูลต้นทางกลับระบุว่าขณะนี้พวกเขาได้ติดปัญหาในการพัฒนาตัวรถหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดสเป็คแบตเตอรี่กับทางซัพพลายเออร์อย่าง Valmet Automotive ที่มีการเปลี่ยนรายละเอียดบ่อยมากจนทางซัพพลายเออร์เริ่มทำตามที่ทางค่ายต้องการไม่ไหว
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทางค่ายต้องเปลี่ยนสเป็คแบตเตอรี่บ่อย ส่วนหนึ่งก็อาจมาจากอีกปัญหาหนึ่งซึ่งฟังดูใหญ่หลวงเช่นกัน นั่นคือการที่ทางวิศวกรไม่สามารถทำให้ตัวรถที่มาพร้อมขุมกำลังไฟฟ้าล้วน มอบบุคลิกในการใช้งาน โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมภาพรวม ให้เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับที่รถยนต์ในตระกูล 718 ควรจะเป็นได้ (ไม่ได้หมายความว่าแย่กว่า หรือดีกว่า แค่อาจจะมี “นิสัย” ที่ไม่เหมือน 718 ดั้งเดิม มากเกินไป)
และไม่ใช่แค่ 718 เท่านั้น ที่อาจได้รับผลกระทบจากเรื่องสเป็คแบตเตอรี่ที่ยังไม่นิ่ง แต่ในฝั่ง All-New Cayenne ที่จะมาพร้อมกับขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วนครั้งแรก ซึ่งมีกำหนดการเปิดตัวในปี 2026 เอง ก็ได้รับผลกระทบในการพัฒนาเช่นกัน
ไม่เว้นแม้แต่ Porsche Project K1 ซึ่งเป็นว่าที่รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ ซึ่งจะอยู่ตำแหน่งสูงกว่า Cayenne ขึ้นไปอีก และถูกออกแบบให้มาพร้อมทางเลือกขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วนเท่านั้นในตอนแรก โดยใช้แพลตฟอร์มกลาง Scalable Systems Platform (SSP) ของ Volkswagen ก็ยังต้องถูกปรับใหม่ให้มาพร้อมทางเลือกขุมกำลังสันดาปภายใน (หรือไม่ก็ไฮบริด) แทนแล้วเช่นกัน แล้วต้องกลับไปใช้แพลตฟอร์มของ Cayenne รุ่นปัจจุบันแทน
ในส่วนของการทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เปิดตัวไปแล้ว ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสเช่นกัน โดยในฝั่ง Taycan มียอดขายในยุโรปเพียง 7,548 คัน ซึ่งถือว่าหดตัวลงไปมากกว่า 52% เมื่อเทียบกับยอดขายปีก่อนหน้า จนทางค่ายอาจต้องปรับแผนปิดฐานการผลิตของตัวรถในโรงงานที่เมือง Zuffenhausen ไปไว้ใน Leipzig เพียงแห่งเดียวเท่านั้นก็ได้ เพื่อลดต้นทุนในการบริหารและการจัดการ
นอกจากนี้ในส่วน All-New Macan ที่มาพร้อมขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วน ก็มียอดขายเพียง 6,377 คันเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ตรงตามเป้าที่ทางค่ายคาดหวังไว้พอสมควร
ไม่เพียงเท่านั้น ยอดขายของรถยนต์ทั้งค่ายภายในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับต้นๆของแบรนด์ ยังหดตัวกว่า 29% โดยสาเหตุสำคัญมาจากการที่พวกเขามีคู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้น และตู่แข่งยังสามารถทำราคารถได้ย่อมเยากว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีลูกเล่นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย ทันสมัยกว่าด้วย
“ก่อนหน้านี้, ความแข็งแกร่งของแบรนด์พวกเขาไม่มีใครสู้ได้, แต่ในตอนนี้เหล่าลูกค้าชาวจีนกลับมองหาสิ่งอื่น และดูทางเลือกอื่นที่มี” Pedro Pacheco นักวิเคราะห์จาก Gartner กล่าวกับสื่อ Auto News “(แต่) ความจริงที่หนีไม่ได้ในตอนนี้ คือ รถยนต์ที่อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าล้วนๆ สามารถทำสมรรถนะได้ดีกว่า ในราคาที่ย่อมเยากว่า, (ดังนั้น) การไม่ทำรถยนต์ไฟฟ้า ก็เหมือนกับการถอนตัวจากประเทศจีน”
“(แบรนด์รถ)ประเทศจีนมีการวางแบบแผนสำหรับรถยนต์พรีเมียมในอนาคตเอาไว้แล้ว” Pedro กล่าวเสริม “(ดังนั้น) แบรนด์ที่ไม่สามารถพัฒนาระบบซอฟท์แวร์และสมรรถนะของรถไฟฟ้าได้ทัน อาจจะไม่ได้เสียฐานลูกค้าแค่ในจีนเท่านั้น แต่อาจจะเจอปัญหาเดียวกันในยุโรปและอเมริกาด้วย ไม่เร็วก็ช้าหลังจากนี้”