ผ่านไปเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่การประกาศโปรเจ็กท์ทำ Nissan Skyline GT-R R32 EV หรือ ก็อดซิลล่าไฟฟ้า ที่เหล่าสาวกหลายคนจับตามอง ในที่สุดร่างสมบูรณ์ของมันก็ได้ถูกเปิดตัวแล้วในงาน Tokyo Auto Salon 2025
หลังการทยอยอัพเดทข้อมูลแบบกระปิดกระปอยทีละนิดแบบเดือนต่อเดือนอยู่นานนับปี ในที่สุดโปรเจ็กท์รถ Nissan Skyline GT-R R32 EV ที่มาพร้อมขุมกำลังไฟฟ้า 100% ก็แล้วเสร็จ และพร้อมจัดแสดงให้ผู้ที่เข้าร่วมงาน Tokyo Auto Salon 2025 ได้รับชมกันสักที
โดยตัวรถคันนี้ เป็นรถที่ทาง Nissan ได้ซื้อมาจากลูกค้าท่านหนึ่งในญี่ปุ่น เพื่อนำมันมาจัดสภาพ และดัดแปลงให้ใช้งานร่วมกับขุมกำลังไฟฟ้าใหม่โดยเฉพาะ และแม้ภายนอกของตัวรถจะไม่ได้ดูมีความแตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะทางทีมสร้างตัวรถต้องการทำให้มันดู “เดิมที่สุด” เท่าที่จะทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไส้ในของมันกลับได้รับการปรับเปลี่ยนยกใหญ่
และเพื่อให้โปรเจ็กท์บรรลุไปได้ด้วยดี พวกเขายังต้องลงทุนถึงขั้นเอาเครื่องวัดระยะชิ้นส่วนต่างๆด้วยเลเซอร์มาใช้งานในการเก็บข้อมูลสัดส่วนต่างๆของตัวรถเอาไว้ เพื่อการวางแผนออกแบบชิ้นส่วนใหม่ๆที่จะถูกใส่เข้าไปในตัวรถให้มีขนาดและมิติที่เหมาะสมที่สุดที่จะใส่เข้าไปในตัวรถได้โดยไม่ต้องตัดแต่งใช้ส่วนโครงสร้างใดๆของตัวรถมากนัก
และหลังจากการแกะถอดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นในโปรเจ็กท์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน รวมถึงชุดแพล่างของระบบกันสะเทือนออกไป เช่นเดียวกับส่วนพ่วงต่างๆอีกประมาณหนึ่ง พร้อมทำความสะอาดห้องเครื่อง หรืออันที่จริงคือกระดองตัวรถใหม่ทั้งคัน
ท้ายที่สุดทางทีมพัฒนา ก็ได้จัดการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 218 PS และ แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร พร้อมชุดแพล่างใหม่เข้าไป เพื่อให้มันสามารถให้กำลังสูงสุดรวมได้กว่า 435 PS และมีแรงบิดสูงสุดรวมกันอีก 680 นิวตันเมตร
โดยแม้ตัวเลขข้างต้น จะถือว่าเป็นตัวเลขพละกำลังที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับขุมกำลังเดิมๆของ R32 ที่เป็นเครื่องยนต์ RB26DETT 6 สูบเรียง ขนาด 2.6 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุด 280 PS และมีแรงบิดสูงสุด 353 นิวตันเมตร แต่ทางค่ายก็ระบุว่าขุมกำลังไฟฟ้าแบบใหม่ที่ใส่เข้าไป จะไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้ลักษณะนิสัยของตัวรถเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ส่วนที่เห็นว่ามันมีพละกำลังสูงกว่าเดิม ก็แค่เพื่อให้มันเหมาะสมกับน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 367 กิโลกรัมก็เท่านั้น
ด้านระยะทางในการวิ่งสูงสุดต่อชาร์จ ทาง Nissan ไม่ได้มีการระบุข้อมูลใดๆเอาไว้ และระบุแค่เพียงว่า ตัวแบตเตอรี่ที่ทางทีมสร้างลงทุนถอดชุดเบาะนั่งด้านหลัง และทำแท่นสำหรับการติดตั้งไว้ให้ในห้องโดยสารนั้น จะมีความจุที่ 62 kWh ซึ่งเป็นแบตเตอรี่จากรถแข่ง Nissan Leaf Nismo RC-02 นั่นเอง
และเนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ดังที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ทางทีมสร้างจึงได้ทำการดัดแปลงชิ้นส่วนระบบช่วงล่างของตัวรถใหม่ ทั้งเปลี่ยนไปใช้ชุดโช้กอัพของ Ohlins แต่ปรับจูนโดยทาง Nismo และเปลี่ยนเอาระบบเบรกของ Nissan GT-R R35 มาใส่แบบยกชุด และด้วยขนาดจานเบรกที่ใหญ่ขึ้น ปั๊มเบรกที่โตขึ้น พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชุดล้อเป็นขอบ 18 นิ้วแทนด้วย จากที่ของเดิมเป็นล้อขอบ 16 นิ้ว
ด้านงานตกแต่งตัวรถภายในห้องโดยสาร ก็ยังคงเน้นความเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เหมือนภายนอก ยกเว้นเพียงบางชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนไปเพื่อความสวยงามและความจำเป็น ทั้ง ชุดเบาะสั่งทำพิเศษจาก Recaro และเปลี่ยนชุดจอมาตรวัดต่างๆ รวมถึงแผงควบคุมระบบปรับอากาศตรงกลางและชุดควบคุมระบบเครื่องเล่นเสียงใหม่ ให้กลายเป็นชุดจอดิจิตอลแทนทั้งหมด เพื่อให้มันสามารถสื่อสารกับขุมกำลังและแบตเตอรี่ที่ติดรถมาได้ง่ายที่สุด
และแม้ตัวรถจะถูกปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ แต่ท้ายที่สุดเราต้องไม่ลืมว่าทาง Nissan เพียงแค่ต้องการแสดงถึงศักยภาพในการดัดแปลงตัวรถระดับตำนาน ให้ยังสามารถโลดแล่นต่อไปได้ ในวันที่เครื่องยนต์สันดาปภายใน อาจไม่เอื้อให้ถูกใช้งานต่อไปได้บนถนนสาธารณะก็เท่านั้น
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว การเซ็ทติ้งต่างๆของตัวรถ จึงยังคงเน้นไปที่การให้ความรู้สึกใกล้เคียงเดิมมากที่สุด โดยอาจจะมีแค่การปรับเซ็ทลูกเล่นต่างๆให้ตัวรถมีสมรรถนะทีี่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น ลักษณะการเปลี่ยนเกียร์จำลองผ่านแป้นแพดเดิ้ลชิฟท์ที่จะให้ความรู้สึกกระชับฉับไวกว่าระบบเกียร์กระปุกดั้งเดิม เพราะใส่เข้ามาไม่ได้, ลักษณะการถ่ายกำลังไปยังล้อแต่ละข้างที่รวดเร็วและมั่นคงกว่า เพราะเป็นระบบจัดการด้วยไฟฟ้าทั้งหมด เป็นต้น
ส่วนทางค่าย จะมีแผนเปิดโปรเจ็กท์รับทำ หรือรับดัดแปลงให้กับลูกค้าเพิ่มเติมหรือไม่ ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป