ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนที่ยังคงกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของรถยนต์กลุ่มนี้ดังเดิม เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา แต่ว่าไม่ได้รวมยุโรป
จากการรายงานข้อมูลโดย Rho Motion ระบุว่าในตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน และรถยนต์ PHEV ทั่วโลก มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นกว่า 25.6% เมื่อเทียบกับยอดขายขายในปีก่อนหน้า ด้วยตัวเลขรวมทั้งหมดกว่า 17.1 ล้านคัน โดยช่วงเดือนที่มีการขายมากที่สุดคือเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ด้วยตัวเลขยอดขายกว่า 1.9 ล้านคัน ภายในเดือนเดียว ซึ่งมันยังเป็นการสร้างสถิติยอดขายสูงสุดในเดือนเดียวครั้งใหม่ด้วย
ที่น่าสนใจคือ จากยอดขายทั่วโลกทั้งหมด 17.1 คัน มีรถกว่า 11 ล้านคัน เป็นตัวเลขยอดขายที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศจีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากถึง 64.3% ของตลาดในปีที่ผ่านมา และนับเป็นตัวเลขยอดขายในประเทศที่สูงขึ้นกว่าปีก่อนราว 40%
โดยตัวกลุ่มรถที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในประเทศจีน ก็คือรถยนต์ขุมกำลังลูกผสมอย่างรถ PHEV ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่า 81% หรือเกือบเท่าตัวจากปีก่อน เนื่องจากประชาชนชาวจีนส่วนใหญ่ เริ่มกลับมาอยากได้รถที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุม ประหยัดเวลา แต่ยังคงประหยัดค่าสิ้นเปลืองพลังงานได้อย่างสมดุลมากขึ้น โดยที่ในขณะเดียวกันฝั่งรถยนต์ไฟฟ้าเอง ก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยถือว่ามียอดขายสูงขึ้นกว่าปีก่อนที่ราวๆ 19% นั่นเอง
ส่วนยอดขายรถยนต์กลุ่ม EV/PHEV ในทวีปอเมริกาเหนือเอง ก็มีอัตราการเติบโตจากปีก่อนที่ราวๆ 8.8% จากตัวเลขยอดขายทั้งหมด 1.8 ล้านคัน โดยยอดขายในเดือนสุดท้ายของปีที่มีตัวเลข 185,000 คัน (นับเฉพาะแคนาดา และสหรัฐอเมริกา) ก็กลายเป็นการทำลายสถิติตัวเลขยอดขายสูงที่สุดตลอดกาลของตลาดด้วย
ถึงกระนั้น ในฝั่งตลาด EU, EFTA และ UK (สหราชอาณาจักร) กลับมียอดขายรวมกันที่หดตัวลงกว่าปีก่อนราว 3% ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ยอดขายรถยนต์กลุ่มนี้ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น และไม่น่าแปลกใจเลยหากหลายค่ายในยุโรปจะต้องปรับแผนการลุยตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าใหม่ เพื่อรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตช้าลง (หรือจากตัวเลขที่เกิดขึ้น คือหดตัว) หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพราะภาครัฐของหลายประเทศได้ภูมิภาคดังกล่าว ถอดถอนนโยบายการอุดหนุนราคาของรถยนต์เหล่านี้ลง จึงทำให้ประชาชนสนใจที่จะซื้อหรือใช้งานรถยนต์เหล่านี้น้อยลงตาม และทำให้หลายคนคาดการณ์ว่ามันอาจเกิดสถานการณ์เดียวกันในสหรัฐอเมริกาปี 2025 นี้ด้วย เนื่องจากหนึ่งในนโยบายสุดท้ายที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พยายามจะยกเลิกก่อนหมดวาระ ก็คือนโยบายการอุดหนุนภาษีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเช่นกัน
ส่วนในประเทศอื่นๆนอกเหนือจากที่เกริ่นไปข้างต้น จะมียอดขายรวมกันที่ 1.3 ล้านคัน ซึ่งก็ยังถือว่ามีอัตราการเติบโตมากขึ้นราว 27% โดยส่วนหนึ่งอาจเพราะความพยายามเปิดตลาดใหม่ของเหล่าผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนที่นับวันยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง